บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก เมษายน, 2020

คำสัญญาที่พ่อให้กับลูก

รูปภาพ
     เรื่องนี้เกิดขึ้นนานแล้วนะครับ สมัยเด็ก แม่ของผมเสียไปตั้งแต่ผมอายุได้ปีกว่าๆ เท่านั้น หลังจากแม่ผมเสีย ผมก็ไม่สามารถกินนมคนอื่นได้ นมผง หรือนมอะไรก็แล้วแต่ ถ้ากินเข้าไปแล้วผมก็จะอ้วกออกมาทันที ในที่สุดผมก็ผอมจนเหลือแต่หนังติดกระดูก ทำให้พ่อผมจนปัญญาที่จะหาทางช่วยผม จนในที่สุด แม่นาง แม่ของ ออย เพื่อนแถวบ้าน แกอุ้มผมขึ้นมากอดไว้ แล้วพูดกับผมที่กำลังร้องไห้อยู่ว่า ‘กินนมของแม่ก็ได้นะ ถ้าเจ้าอยากกิน แม่ก็คงให้เจ้าได้เพียงเท่านี้ จากนี้ไปก็ต้องแล้วแต่บุญแต่กรรมแล้วล่ะ..’ ปรากฏว่าผมดูดนมของแกเข้าไปพร้อมกับหลับสนิท พ่อผมดีใจเป็นอย่างมาก ทำให้ในที่สุดผม กับออย ก็ต้องกินนมแม่คนเดียวกัน อย่างบางครั้งผมร้องไห้ตอนดึก พ่อก็จะอุ้มผมวิ่งไปบ้านแม่นางเป็นประจำ ซึ่งพ่อผมจะสอนผมอยู่เสมอว่า แม่นางก็เปรียบเสมือนแม่แท้ๆ คนหนึ่ง และออยก็เหมือนเป็นน้องสาวของผมด้วย (ผมเกิดก่อนออย 6 เดือน) ครอบครัวของผมจะเรียกบ้านของออยว่า บ้านเล็ก เพราะเวลามีกับข้าวอะไร ผมก็จะเอาไปส่งที่บ้านของออยเสมอ บางวันผมก็ไปนอนอยู่ที่นั่นเป็นเพื่อนออย เวลาที่พ่อกับแม่ของออยไปนอนในไร่ในนา จนถึงตอนที่ผมขึ้น ป.2 แม่นางก็ได้จากไป

ฉิบหายละกู

รูปภาพ
     ผมมีอาชีพขับรถแท็กซี่ในกรุงเทพฯ ครับ ขับมาก็หลายปีพอสมควรแล้ว ที่ผ่านมาก็จะเช่ารถขับจากอู่แท็กซี่ จนมีเงินเก็บก้อนหนึ่ง เลยมีความคิดว่าอยากดาวน์แท็กซี่เป็นของตัวเองสักคัน จนมาเจอบริษัทหนึ่งอยู่แถวพุทธมณฑล ผมก็ตกลงใจที่จะซื้อรถจากบริษัทนี้ จึงทำเรื่องซื้อ เรื่องค้ำประกันเรียบร้อยเสร็จ ก็รอวันรับรถ ซึ่งต้องรอตามคิวครับ รอประมาณ 2 อาทิตย์ก็ถึงคิวของผม ด้วยความดีใจที่จะมีรถเป็นของตัวเองคันแรก รุ่งเช้ามาผมก็ไปรับรถเลยทันที โดยไม่ทันคิดเรื่องฤกษ์งามยามดี เพราะมัวแต่ตื่นเต้น ซึ่งก็ผ่านไปเรียบร้อยดี รับรถมาจอดที่บ้านอย่างชื่นใจ โดยผมจะผลัดกันขับกับพ่อผมครับ ส่วนมากพ่อจะขับกะกลางวัน ผมขับกะกลางคืน จากนั้นผมก็เริ่มงานด้วยรถคันใหม่ ขับรถหาลูกค้าไปเรื่อยทุกๆ วัน แต่กลับรู้สึกว่าหาเงินได้ไม่ค่อยดีเหมือนตอนเช่ารถขับ บางครั้งเห็นคนยืนข้างทางเหมือนจะเรียกแท็กซี่ พอขับเข้าไปใกล้ๆ เขาก็ไม่เรียก แต่ไปเรียกอีกคันที่วิ่งตามหลังผมมา ทั้งๆ ที่รถผมก็ใหม่เพราะถอยป้ายแดงออกมาเลย แต่ผมก็ไม่อยากคิดมาก คิดว่าไม่ใช่ดวงของผม.. แต่นับวัน ยิ่งขับก็ยิ่งหาเงินยากขึ้นมากกว่าเดิม มิหนำซ้ำรถยังเสียอยู่บ่อยๆ อีก เ

ออกไป ออกไป

รูปภาพ
     เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน เราชื่อเนเน่ ตอนนั้นกำลังเรียนอยู่ชั้น ม.5 ค่ะ เนเน่ทำงานเสริมเป็นนักร้องตามวงดนตรีต่างๆ ด้วย ซึ่งการเป็นนักร้องแน่นอนว่าส่วนใหญ่จะเป็นงานกลางคืนทั้งนั้น และมักจะต้องเจอเรื่องเเปลกๆ อยู่บ้าง อีกอย่างเนเน่เป็นคนมีเซ้นส์ค่ะ หมอดูเขาทักน่ะค่ะ.. วันนั้นเนเน่มีงานร้องเพลงที่อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรีค่ะ สถานที่เป็นวัดแห่งหนึ่ง พอเลิกเรียนกลับบ้านมา เนเน่ก็อาบน้ำเเต่งตัวนั่งรอรถพี่ๆ นักดนตรีมารับค่ะ พอรถไปถึงที่งาน เนเน่เปิดประตูก้าวขาลงจากรถ พอเท้าสัมผัสกับพื้นเท่านั้นล่ะ อยู่ๆ ก็รู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาทั้งตัวเลยค่ะ ทั้งๆ ที่อากาศก็ไม่ได้หนาวอะไร แถมยังรู้สึกหายใจไม่โล่งอีกด้วย มันแน่นๆ หน้าอก จุกๆ ยังไงบอกไม่ถูก แต่เนเน่ก็ยังทำตัวปกติเหมือนเดิมค่ะ จนเวลาผ่านไป ใกล้เวลาที่จะต้องขึ้นแสดง นักดนตรีก็ขึ้นไปสแตนบาย ไปไหว้ครูกัน จนนักดนตรีเริ่มเทสเสียงกันแล้ว ส่วนเนเน่แต่งตัวเสร็จ และกำลังนั่งหลับตาไหว้ครูอยู่ แต่มันมีอยู่แวบนึงค่ะ มันเหมือนมีเสียงเป็นเสียงผู้ชายแก่ๆ อายุน่าจะราว 75 ขึ้นไปได้ คือเป็นเสียงแหบๆ แห้งๆ หลอนๆ อย่างบอกไม่ถูกเลยค่ะ เสียงนั้

ไม่ใช่คนแน่ๆ

รูปภาพ
     เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนเราเรียนมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลก ตอนนั้นเราอยู่ปี 2 และได้ย้ายมาเช่าบ้านอยู่กับเพื่อนเราอีกคนค่ะ ลักษณะเป็นบ้านชั้นเดียวแต่ยกสูงจากพื้นประมาณ 2 เมตร มี 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ..อยู่มาคืนหนึ่ง แฟนเราก็มาที่บ้าน และก็กำลังนั่งดูรายการผีในโทรทัศน์กันอยู่ มันจะมีอยู่ช่วงหนึ่งของรายการ ที่จะมีการท่องคาถาเรียกวิญญาณ เพื่อมาพูดคุยกัน ตอนนั้นเราก็แอบคิดในใจว่า ‘แล้วถ้าวิญญาณที่สถิตย์อยู่แถวนี้ได้ยิน เขาจะมาไหมนะ?’ แต่เราก็แค่คิดเล่นๆ ไม่ได้ใส่ใจอะไร พอรายการจบ เพื่อนเราก็แยกตัวไปนอน ส่วนเรากำลังจะลงไปส่งแฟนที่รถ แต่ยังไม่ทันก้าวลงบันได จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเพื่อนกรี๊ด แล้ววิ่งออกจากห้องมาหาเราด้วยสีหน้าหวาดกลัว เหมือนตกใจอะไรบางอย่าง เรารีบถามเพื่อนว่า ‘เป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น?’ แต่เพื่อนยังอยู่ในอาการตกใจ ไม่ยอมพูดอะไร บอกแค่ว่า ‘แกช่วยไปปิดม่านให้หน่อย..’ ที่ห้องนอนของเพื่อนเรายังคงปิดไฟอยู่ มีเพียงแสงสลัวๆ จากห้องโถงสาดเข้าไปในห้องนอน ในใจเราคิดว่าต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ แต่ก็ยังทำใจดีสู้เสือ เดินเข้าไปปิดม่านให้ โดยเปิดไฟห้องก่อน พอไปถึงตรงหน้าต่างกำลังจะเอ

นอนข้างนอกบ้านคนเดียว

รูปภาพ
     เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อเกือบ 20 ปีก่อน ผมกับเพื่อนๆ เดินทางไปเที่ยวภูเรือด้วยรถตู้ ไปกัน 11 คน เนื่องจากเป็นเทศกาลท่องเที่ยว ทำให้บ้านพักที่จองไว้ไม่เพียงพอ จึงได้แค่บ้านพักหลังเล็กๆ 1 หลัง กับจำนวนคนที่มากกว่า จึงต้องเตรียมเต๊นท์ไปกางนอนอีก 2 หลัง แต่พวกเราไม่ได้คิดอะไรมาก เนื่องจากอีกคืนเราก็จะได้บ้านเพิ่มหลังที่ใหญ่ขึ้น ตกดึกประมาณ 4 ทุ่ม เพื่อนที่ตั้งวงกินเหล้าก็นั่งกินไป คุยไป ร้องเพลงเบาๆ คลอไปตามเรื่อง เพราะทางอุทยานไม่อนุญาตให้ส่งเสียงดัง หรือใช้เครื่องเสียง ด้วยอากาศที่หนาวเย็นมาก อุณหภูมิตอนนั้น 7-8 อาศา ทุกคนต้องใส่เสื้อหลายชั้น บรรยากาศรอบที่พักเป็นลานโล่ง ที่พื้นมีแต่ใบไม้แห้งตกหล่น รอบๆ บ้านพักปกคลุมไปด้วยต้นสักขนาดใหญ่ คืนเดือนหงายเห็นบรรยากาศโดยรอบชัดเจนในระยะไกล ส่วนบ้านพักอยู่ใกล้หน้าผา แต่ไม่ได้น่ากลัวเพราะมีต้นไม้ขึ้นสูงปกคลุมทั่ว ส่วนเต๊นท์ 2 หลังที่กางไว้ อยู่ห่างจากบ้านพักออกไปเล็กน้อยประมาณ 20 เมตร กางติดกันโดยหน้าเต้นหันไปทางลานโล่ง หลังเต๊นท์เป็นปลายเขา.. ประมาณ 5 ทุ่ม ทุกอย่างดูราบรื่นดีครับ ผมเองเป็นนักศึกษาวิชาทหารเก่า เคยนอนเต๊นท์มาก่อน เลยเสียสละ

มึงพากูมาจากที่ของกู

รูปภาพ
     เรื่องนี้เกิดขึ้นนานแล้วนะครับ ผมเป็นพนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งครับ ครั้งหนึ่ง ผมกับเพื่อนที่ทำงานวางแผนจะไปเที่ยวทะเลที่พัทยา และค้างคืนที่บ้านพักสวัสดิการของพนักงาน ไปกันทั้งหมด 10 คนครับ วันแรกที่เราไปถึง เราก็ออกเที่ยวกันตามปกติ นั่งเรือไปเกาะล้าน ตกเย็นก็กลับมาทำอาหารกินกันเองที่บ้านพัก ดื่มเหล้าเฮฮาตามประสาคนมาพักผ่อน พอกรึ่มๆ ได้ที่ ผมก็คิดอะไรแผลงๆ ชวนเพื่อนอีก 2 คนไปถ่ายวีดีโอเล่นแถวริมหาด จำได้แม่นว่าเป็นแถวถนนพระตำหนัก ซึ่งผมก็เดินกันไป 3 คน โดยมีเพื่อนคนหนึ่งถือกล้อง อีกคนถือไฟฉาย ส่วนผมเป็นพิธีกรครับ.. เราเดินกันไปตามชายหาดที่ค่อนข้างมืด ไม่มีไฟสักดวง ผมก็ให้เพื่อนถ่ายไปเรื่อยๆ และผมก็เริ่มบรรยายบรรยากาศอันน่าสยองให้ฟังไปด้วย เหมือนรายการผีอะไรอย่างนั้นน่ะครับ ต้องบอกก่อนว่า ปกติผมเป็นคนไม่ค่อยเชื่อเรื่องผีสางสักเท่าไหร่ บวกกับอารมณ์กำลังมึนเมาได้ที่ เลยพูดไปเรื่อยเปื่อย ผมกับเพื่อนพยายามมองไปรอบๆ เพื่อหาสิ่งผิดปกติ แต่ก็สุดท้ายก็ไม่พบอะไร คิดในใจว่าคงหมดสนุกแล้วล่ะมั้ง เลยตัดสินใจเดินกลับที่พัก ระหว่างที่เดินกลับ ผมก็เดินไปสะดุดกับอะไรบางอย่าง ลักษณะเป็นกองดินเ

ไม่อยากได้ดอกไม้

รูปภาพ
     เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ซึ่งพี่ของผมเป็นคนที่เจอเหตุการณ์นี้ พี่เล่าว่า... พี่ทำงานเป็นเซลล์ขายของ กลับบ้านไม่ค่อยจะตรงเวลาเท่าไหร่ บางครั้งก็หัวค่ำทุ่ม 2 ทุ่ม บางครั้งก็เที่ยงคืนตี 1 ตี 2 ก็มี มีวันหนึ่ง พี่กลับมาจากที่ทำงานประมาณ 3 ทุ่ม เดินขึ้นสะพานไม้ข้ามคลอง กำลังเดินๆ อยู่ได้ยินเสียงคนเดินตามหลังมา หันกลับไปดูเป็นสาวออฟฟิศคนหนึ่งเดินขากะเผลกอยู่ พี่เห็นเลยหยุดถามว่า ให้ช่วยอะไรไหม ใส่ส้นสูงแบบนั้นเดินลำบาก หากไม่รังเกียจกันจะพยุงไปส่งบ้านดีไหม? เธอคนนั้นยิ้มแล้วพยักหน้าให้ พี่เลยเข้าไปช่วยพยุง เธอบอกให้ไปส่งที่ท่าน้ำหน่อย พี่ถามว่าทำไมไม่ให้ไปส่งที่บ้านล่ะ? เธอบอกว่าเดี๋ยวแฟนจะมารับ.. พอไปถึงที่ท่าน้ำเธอบอกขอบคุณ พี่ถามว่า ดึกแล้วนะ แฟนจะมารับตอนไหน? เธอบอกว่า อีกแป๊ปเดียวค่ะ แล้วพี่ก็ขอตัวกลับบ้านไป..พอตอนเช้าพี่มีงานต้องไปในกรุงเทพฯ เลยต้องออกจากบ้านแต่เช้ามืด พอเดินไปถึงท่าน้ำก็เจอเธอคนนั้นยังคงอยู่ที่เดิม.. พี่ถามว่าแฟนยังไม่มาเหรอ? เธอบอกว่ายังเลย พี่ก็ตกใจ ถามว่าบ้านไกลไหมจะได้ไปส่ง เธอบอกไปไม่ได้หรอก ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวกลับเองได้ พี่เลยไปทำงาน มองลงมา

คราวนี้ชัดเลย

รูปภาพ
     เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ผมเป็นคนชอบเที่ยวครับ คือไม่ค่อยอยู่กับบ้าน เลิกเรียนนี่เที่ยวอย่างเดียว มีเวลาว่างเมื่อไหร่เป็นเที่ยว พอมีวันหยุด ก็จะไปทริปต่างจังหวัดกับเพื่อนด้วยมอเตอร์ไซค์คู่ใจครับ.. มีอยู่วันหนึ่งเป็นวันหยุด รอบนี้ไม่ได้ออกต่างจังหวัด ผมนัดกับเพื่อนคนหนึ่งไปตกปูกันที่เดิม แถบชายทะเลบางขุนเทียนครับ ถนนแถวนั้นค่อนข้างเปลี่ยว ผมไปกันตั้งแต่บ่าย 3 ไปนั่งเตรียมของหย่อนปลาทูสดเล่น แล้วไม่รู้นึกยังไง วันนั้นดันนึกสนุก นั่งคุยเรื่องผีกัน 2 คน พร้อมกับตกปูไป คุยกันไปเพลินๆ จนลืมเวลา พอรู้ตัวอีกทีก็ดึกแล้วครับ ดึกกว่าทุกครั้งที่เคยมาเลย ผมกับเพื่อนรีบเก็บข้าวของเตรียมกลับกัน ทุกอย่างก็ปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือบรรยากาศครับ ลมมันเย็นยะเยือกผิดปกติ ผมมองหน้ากันแบบระแวง ก่อนจะขี่รถกลับทางเดิม.. ปกติผมจะเป็นคนขี่รถเร็วครับ ยืนพื้นที่ 100 ตลอด แล้วตอนกลับผมก็ผ่านศาลตะเคียนที่ผ่านประจำเวลามาตกปู ผมก็บีบแตรปกติ แล้วทีนี้พอผมขี่ผ่านสะพานแรกมา ถนนช่วงนี้มืดมากครับ มีไฟถนนห่างๆ เป็นระยะ เสาไฟตั้งอยู่บนป่าชายเลนเลียบถนน ผมก็ขี่ไปแบบหวั่นๆ เหมือนกัน แต่อุ่นใจที่มีเพื่อนตามหลังมา

หายวับไปในกำแพงเฉยๆ

รูปภาพ
     เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อหลายปีที่แล้ว เราเรียนอยู่มหาวิทยาลัยชื่อดังย่านเขาดินนะคะ เดิมมหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นวังเก่าแก่ จะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือกันมายาวนาน เรียกกันว่า องค์แม่ ค่ะ ทั้งอาจารย์ และนักศึกษาต่างเคารพมาก.. ช่วงที่เราเป็นนักศึกษาปี 1 เพิ่งย้ายเข้ามา ก็ยังไม่ค่อยรู้ประวัติดีนัก เลยไม่ค่อยจะเชื่อเรื่องแบบนี้เท่าไหร่ แต่ก็มีเหตุการณ์หนึ่ง ที่ทำให้เราหันมาเชื่อเรื่องนี้สนิทใจเลยค่ะ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ทำงานหนักมากทั้งโปรเจค และอะไรหลายๆ อย่าง และสถานที่ที่ดีที่สุดในการทำงานสำหรับพวกเราก็คือห้องสมุดค่ะ ที่ตึกห้องสมุด ชั้นแรกจะเป็นห้องการเงิน ที่สำหรับชำระค่าเทอมอะไรพวกนั้น ส่วนห้องสมุดจะอยู่ชั้น 2 และ 3 วันนั้นเรากับเพื่อนๆ ก็ไปหาหนังสือที่จะใช้ทำโปรเจค หาไปเรื่อย คุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อย แล้วระหว่างที่ทำงานกันไปสักพัก เพื่อนในกลุ่มเราคนหนึ่งชื่อ พลอย (นามสมมติ) ก็ได้เหลือบไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดไทยมีสไบคล้ายนางรำ เดินอยู่ตรงระหว่างบันไดชั้น 2 ที่จะขึ้นไปชั้น 3 แต่พลอยก็ไม่ได้เอะใจอะไร คิดว่าอาจจะมีการรำการแสดงอะไรสักอย่างหรือเปล่า พลอยมันก็พูดลอยๆ ขึ้นมาว่า

เจอเหรอ? จะเหลือเหรอ

รูปภาพ
     เรื่องนี้เกิดขึ้นนานแล้ว เตี้ยเป็นคนภาคอีสานค่ะ เมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว ได้กลับไปเยี่ยมบ้านที่ภาคอีสาน ด้วยความที่ไม่ได้กลับบ้านเกิดมานานมาก ทำให้เตี้ยตระเวนไปเยี่ยมเพื่อนๆ ญาติๆ ตามหมู่บ้านต่างๆ แทบจะทุกวัน จนมีวันหนึ่ง เตี้ยให้พี่ชายคนรองขับรถพาไปเยี่ยมย่า และบรรดาอาๆ ที่อยู่อีกหมู่บ้านหนึ่งซึ่งห่างออกไปราวๆ 5 กิโลเมตร ตอนแรกพี่ชายก็บ่นบอก ‘เอาไว้พรุ่งนี้ได้ไหม? นี่ก็ 4 โมงเย็นแล้ว เวลาเตี้ยไปหาเพื่อนหาญาติ ชอบติดลม พี่ไม่อยากขับรถตอนกลางคืน ไฟหน้ารถมันไม่ค่อยดี..’ พี่ชายคนรองเตี้ยบ่นซะยาว เตี้ยเลยบอกกับพี่ชายว่า ‘ถ้าไม่พาไป งั้นเอากุญแจรถมา เตี้ยไปเองก็ได้ ถ้าเมาแล้วขับอย่ามาบ่นทีหลังละกัน..’ พอพูดจบ ทั้งแม่ทั้งพี่ชายรีบร้องห้ามใหญ่ บอกห้ามไปคนเดียวนะมันอัตราย เดี๋ยวนี้บ้านเราไม่เหมือนเมื่อก่อนหรอกนะ สุดท้ายพี่ชายคนรองก็ต้องขับรถไปส่งเตี้ยจนได้ เตี้ยนั่งหน้าข้างพี่ชาย ตามองสองข้างทางที่เปลี่ยนไปมาก ถนนเส้นที่พี่ชายพามาเป็นเส้นทางลัด เป็นถนนดินทรายที่ชาวบ้านเขาใช้เวลาไปไร่ไปนา สองข้างทางที่เตี้ยจำได้มันเคยเป็นไร่มันสำปะหลัง แต่ตอนนี้เป็นไร่อ้อยแทน เตี้ยชวนพี่ชายคุยไปเรื่อย

รีบกระโดดลงจากที่นอน

รูปภาพ
     เรื่องนี้เกิดขึ้นนานแล้ว เนื่องจากว่าเราเป็นคนมีเซ้นส์ เลยมักจะเจอเรื่องแปลกๆ มาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว ที่บ้านเราเลยให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คือ พี่กุมาร มาติดตัวไว้ค่ะ.. เข้าเรื่องเลยนะคะ สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ช่วงปี 2 เราได้ย้ายจากบ้านมาอยู่หอพักใกล้ๆ กับมหาวิทยาลัย เป็นหอนอก ตอนแรกที่เข้ามาดูห้องกับเพื่อน เราก็รู้สึกแปลกๆ กับห้องนี้ทันทีเลยค่ะ พอดีว่าเพื่อนเราก็รู้ว่าเรามีเซ้นส์  ก็เลยถามเราว่าห้องนี้เป็นยังไง? เราก็อธิบายความรู้สึกตัวเองไม่ค่อยได้ แต่ที่มันชัดมากๆ คือห้องนี้มีบุคคลที่ 3 แน่ๆ แต่เหมือนเรารับรู้ได้ว่าเขาเป็นมิตร เราเลยบอกเพื่อนไปว่า ‘เราโอเคกับที่นี่..’ ช่วงแรกที่เข้ามาอยู่ก็ไม่มีอะไรค่ะ ดีหมด สนุกสนานเฮฮา เพราะอยู่ใกล้แหล่งของกิน และตึกคณะ เสียอยู่อย่างหนึ่งตรงที่ห้องค่อนข้างอับ และมืดไปหน่อย.. มีอยู่คืนหนึ่ง เป็นคืนที่เราต้องอยู่ห้องคนเดียว เนื่องจากเพื่อนเราต้องไปทำงานที่หอเพื่อนไม่กลับมานอน แต่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกค่ะ..แล้วในคืนนั้นเอง ขณะที่เรากำลังนอนดูทีวี อยู่ๆ เสียงก็มาค่ะ ‘ตุบๆ’ จะว่ามันเป็นเสียงที่ปกติสำหรับเราก็ได้ เพราะเราได้ยินบ่อยๆ ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ เสียงจะ

เห็นแบบนี้ตัดสินใจเลี้ยวรถเข้าวัดเลย

รูปภาพ
     เรื่องนี้เกิดเมื่อหลายปีก่อน เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นสมัยเราอยู่มัธยมต้นค่ะ นี่ก็ผ่านไปเกือบ 20 ปีได้แล้ว บ้านเราอยู่ตอนล่างของภาคใต้ ช่วงวันหยุด แม่ และบรรดาญาติๆ เรามักจะพากันไปเที่ยวต่างจังหวัด มีครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่เราทุกคนไม่เคยลืมเลยค่ะ.. ครั้งนั้นมีเรา แม่ น้าหญิง แฟนของน้าหญิง และน้องชายเรา จะไปเที่ยวจังหวัดชัยนาท และชัยภูมิกัน ไปโดยรถกระบะ 4 ประตูแบบมีแค็บหลัง ระหว่างการเดินทางขาไปไม่มีอะไร ราบรื่นปกติดีค่ะ แต่เรื่องมันเกิดขึ้นตอนขากลับ..ตอนนั้นเราไม่แน่ใจว่าเราอยู่จังหวัดไหน เพราะมันดึกแล้วมืดไปหมด ระหว่างทางน้าเราเกิดปวดฉี่ จึงต้องแวะหาปั๊มน้ำมัน พอถึงปั๊ม ทุกคนก็ลงกันไปเข้าห้องน้ำ ยกเว้นเราที่ไม่ปวด นั่งรออยู่ในรถคนเดียว สักพักเราก็รู้สึกว่ากระบะหลังมันยุบตัวลง เหมือนเวลามีคนขึ้นรถ เราก็ไม่ได้เอะใจอะไร คิดว่าใครสักคนคงขึ้นหลังกระบะเพื่อเอาของ เลยไม่ได้หันไปดู.. สักพัก แม่ น้องเรา และแฟนน้าหญิงก็ขึ้นมาบนรถ ตามหลังมาด้วยน้าหญิง ที่มีสีหน้าแตกตื่น ตกใจ เหมือนหนีอะไรมา แฟนน้าหญิงเป็นคนขับ น้าหญิงนั่งหน้าข้างคนขับ ส่วนเรา และคนอื่นๆ ก็นั่งแค็บหลัง พอปิดประตูรถ น้าหญิงก็

นอนทับที่

รูปภาพ
     สมัยเด็กเราย้ายบ้านและมาเรียนที่จังหวัดชลบุรีกับพ่อ 2 คน ช่วงแรกตอนเข้าเรียนใหม่ๆ เรายังไม่คุ้นชินเส้นทาง พ่อก็จะคอยไปรับไปส่งตลอด อยู่มาวันหนึ่งพ่อชวนเราไปทำบุญที่วัดแถวบ้าน ในขณะที่กำลังกรวดน้ำอยู่นั้น พระท่านก็ทักพ่อเราว่า ​‘มีวิญญาณคอยตามอยู่นะโยม พยายามทำบุญให้เขาบ่อยๆ ล่ะ..’ แต่พ่อกับเราก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เพราะปกติจะไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้กันสักเท่าไหร่ อาทิตย์ต่อมา พ่อเราเริ่มบ่นว่ามีอาการหนักที่ต้นคอ และปวดหัว แต่เนื่องจากพ่อเป็นคนทำงานค่อนข้างหนักอยู่แล้ว ก็เลยไม่ได้คิดอะไร.. เช้าวันหนึ่ง พ่อก็ไปส่งเราเข้าเรียนตามปกติ พอถึงหน้าโรงเรียน คุณครูก็ทักพ่อเราว่า ‘ลูกชายหล่อจังเลยนะคะ’ ทั้งๆ ที่พ่อมีเราเป็นลูกสาวคนเดียว เราก็เดินเข้าโรงเรียนไปแบบงงๆ พอตกเย็นพ่อก็มารับเราเหมือนเคย แต่ระหว่างที่พ่อกำลังขับรถเข้ามาจอด เราก็เห็นเด็กผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งอยู่ในชุดนักเรียน นั่งรถมากับพ่อด้วย ตอนนั้นเราเองก็ยังไม่ได้เอะใจอะไร คิดว่าพ่อน่าจะอาสารับลูกใครมาด้วย เพราะพ่อเป็นคนสัมพันธไมตรีดี และมีน้ำใจกับทุกคนอยู่แล้ว เราก็นั่งรถกลับบ้านกันมา 3 คน พอมาถึงบ้านพ่อก็ดับเครื่องรถแล้วเดินเข

คิดว่าเป็นเพื่อนเรียก

รูปภาพ
     เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตอนเราเรียนอยู่ ปี 2 ค่ะ คือเราคบกับแฟนคนหนึ่งตั้งแต่ ม.6 แต่แล้วก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องเลิกกัน เพราะเราจับได้ว่าเขาแอบไปทำผู้หญิงอีกคนท้อง และให้เธอไปทำแท้ง เราจึงตัดสินใจขอเลิกตั้งแต่ตอนนั้น แต่เขาก็ไม่ยอมจบ ยังคงตามมาหาที่หอพัก และคอยตื๊อ จนเราบอกว่าจะแจ้งตำรวจแล้วนะ เขาถึงได้เลิกตามในที่สุด ต่อมาเราก็ย้ายไปอยู่หอพัก ซึ่งเรากับเพื่อนสนิทอยู่กันคนละห้องเรียงกันเลยคือ 308, 309 และ 310 เราจะอยู่ห้องสุดท้ายคือ 310 บ่ายวันหนึ่งหลังจากเรียนเสร็จ เราก็กลับมานอนกลางวันที่ห้อง ซึ่งปกติเราจะนอนเปิดหน้าต่างแต่ล็อคมุ้งลวดไว้ เพื่อให้ลมมันเข้า และในช่วงที่กำลังจะเคลิ้มหลับ จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีเงาคนชะโงกหน้ามาตรงหน้าต่าง และก้มมองมาที่เรา น่าแปลกมากที่เราขยับตัวหรือทำอะไรไม่ได้เลย ได้แต่หลี่ตามองดูภาพตรงหน้า ลักษณะเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ ตัวดำๆ แม้จะมองไม่เห็นรายละเอียดของใบหน้า แต่ก็ดูออกว่าเขากำลังจ้องมองมาที่เรา เราพยายามจะพลิกตัว จะขยับปาก หรือจะตะโกน ก็ไม่สามารถทำได้เลย จนในที่สุดเรานึกถึงพ่อแม่ และภาวนาขอให้ช่วยลูกด้วย เท่านั้นแหละ เราจึงหลุดออกมาได้.. พอตั้งสต

เองเห็นผีเหรอไงวะ

รูปภาพ
    เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ตอนที่ผมเรียนอยู่ ปวช.2 สอบกลางภาคเดือนตุลาคมเสร็จ ทางโรงเรียนก็ให้นักศึกษาไปฝึกงานกับศูนย์ราชการต่างๆ ในจังหวัด โดยทำการจับฉลากกันว่าใครจะได้ไปฝึกที่ไหน ปรากฏว่าผมกับเพื่อนอีก 2 คนได้ไปฝึกงานที่สาธารณสุขอำเภอเมือง ใกล้กับศาลากลางจังหวัดครับ ไปฝึกงานได้ 2 วัน พี่ที่เป็นเจ้าหน้าที่เขาก็ชวนผมบอก ‘ลองไปทำอาสาไหม? ที่มูลนิธิ’ ผมถาม ‘เก็บศพเหรอพี่? ไม่ไหวมั้ง..’ แกหยอกผมว่าทำอย่างกับเห็นผี กลัวผีอย่างงั้นล่ะ ผมเลยไม่อยากขัด เลยบอกพี่เขา ‘ไปก็ได้ครับ..’พอดีว่าวันนั้นมีเหตุจริงๆ เป็นผู้หญิงขี่รถชนกับสิบล้อตายคาที่ สมองกระจายเต็มถนน ผมนั่งรถไปกับพี่เขา และเจ้าหน้าที่มูลนิธิอีก 2 คน ไปถึงเห็นสภาพศพแบบดูไม่ได้เลยครับ นอนคว่ำเหลือแค่ตัวถึงคอ หัวเละ พี่บอกให้ผมไปเข็นรถคนตายไปไว้ข้างถนนเพื่อรอตำรวจ ผมเดินไปจับแฮนด์รถ ปรากฏว่ามันมีของเหลวบางอย่างติดอยู่ ผมเอามือขึ้นมาดูก็ตกใจ เห็นเป็นสีเหลืองๆ มีเส้นเลือดอยู่ สิ่งแรกที่คิดได้คือมันสมองแน่นอน! ผมรีบเอามือเช็ดกับพื้นถนนทันที ตอนนั้นเองก็ได้ยินเสียงพูดมาว่า ‘มึงเอาสมองกูไปถูพื้นทำไม!’ ผมเงยหน้ามา เห็นผู้หญิ

ติดตาม

รูปภาพ
     เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน แฟนเราเป็นทหารค่ะ บังเอิญถูกย้ายไปอยู่ชายแดนเขมร เป็นฐาน สำหรับเฝ้า และตรวจลาดตระเวนดูแลพวกไม้พะยูง เพราะมีพวกลักลอบตัดเยอะเนื่องจากราคาแพง และเมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมานี้เอง แฟนเราได้ผลัดลากลับบ้าน บ้านเราอยู่จังหวัดสงขลา ซึ่งระยะทางก็ค่อนข้างไกลมาก นั่งรถทัวร์จากจังหวัดศรีสะเกษครึ่งวัน พักที่กรุงเทพฯ 1 คืน แล้วนั่งรถไฟต่อ รถออกประมาณบ่าย 3 โมง กว่ารถไฟจะมาถึงสถานีชุมทางหาดใหญ่ ก็ประมาณสายๆ ของอีกวัน พอแฟนมาถึงที่บ้าน แฟนก็ทักทายกับลูกชายวัย 2 ขวบ แต่ยังพูดไม่ค่อยชัด คืนแรกที่แฟนกลับมาก็ปกติดี ลูกชายก็หลับสนิทดีค่ะ.. แต่พอเข้าคืนที่ 2 เวลาประมาณตี 3 เราตื่นขึ้นมาชงนมให้ลูก ลูกก็ลืมตาขึ้นมา โดยที่สายตาเอาแต่มองขึ้นไปบนคานบ้าน คือที่บ้านเป็นบ้านไม้ทรงโบราณค่ะ จะมีคานอยู่กลางบ้าน ลูกชายมองที่คานตาแข็ง แล้วชี้นิ้วพร้อมกับร้องไห้เสียงดัง เหมือนพยายามจะบอกว่าเห็นอะไรในสิ่งที่เรามองไม่เห็น.. เราก็พยายามถามลูกว่า ‘เป็นอะไรลูก?’ แต่ลูกก็เอาแต่ร้องไห้และชี้นิ้วไปที่จุดเดิม จนแฟนลุกขึ้นมาดู แล้วมองตามไปที่คานถามลูกว่า ‘ร้องทำไม ไม่เห็นมีอะไรเลยลูก’

เอาผมกูคืนมา

รูปภาพ
    เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนแล้วนะครับ ช่วงปิดเทอมเล็กสมัยเรียนชั้น ม.2 เพื่อนสนิทผมคนหนึ่งเป็นผู้หญิงชื่อ นิ่ม ครับ ตามกฏระเบียบของโรงเรียน เด็กผู้หญิงจะต้องตัดผมสั้นเท่าติ่งหู พอถึงช่วงปิดเทอม ก็มักจะนิยมไปต่อผมยาวกัน ฮิตกันมากในหมู่เด็กหญิงผมทรงกะลาในโรงเรียนของผม วันหนึ่ง นิ่มชวนผมไปต่อผมที่ตลาดแห่งหนึ่งย่านเมืองเก่าของกรุงเทพฯ นิ่มก็เดินหาร้านอยู่พักหนึ่ง จนไปเจอร้านที่ถูกใจ ด้วยความที่ร้านนี้ทำวิกผมจากผมจริง ไม่ใช่ใยสังเคราะห์เหมือนที่อื่นส่วนใหญ่ นิ่มเดินเลือกผมอยู่นาน จนในที่สุดก็เลือกผมชุดหนึ่งมาต่อ ซึ่งปกติผมจริงราคาจะสูง แต่ด้วยเพราะอะไรไม่รู้ ทางร้านกลับลดราคาให้นิ่มจนแสนถูก หลังจากที่ต่อผมเสร็จ พวกผมก็พากันกลับบ้าน ผ่านไป 2 วัน พวกผมและเพื่อนอีก 3 คนได้นัดกันไปกินหมูกะทะ กินเสร็จก็เกือบค่ำ เพื่อนๆ คนอื่นก็ต่างคนต่างกลับ วันนั้นพ่อแม่ของนิ่มไม่อยู่ห้อง ผมจึงขอไปนอนกับมันด้วย ที่อยู่ของนิ่มจะเป็นห้องเช่าครับ มีเตียงใหญ่ๆ ปลายเตียงจะเป็นห้องน้ำ ฝั่งขวาเป็นระเบียง ถัดมาก็จะเป็นตู้เสื้อผ้า และที่เด่นที่สุดก็คือโต๊ะเครื่องแป้งที่อยู่หน้าห้องน้ำเลย.. คืนนั้นนิ่มก็ได้

หิวข้าว

รูปภาพ
     เรื่องนี้ผมได้รับฟังมาจากเพื่อนที่เรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน เพื่อนคนนี้มีชื่อว่า ป้อม เรื่องเกิดขึ้นสมัยป้อมอายุประมาณ 12-13 ปี ที่หมู่บ้านของป้อมจะมีลานกีฬาอยู่แห่งหนึ่ง ลานกีฬานี้จะอยู่ติดกับทางโค้งอันตราย ซึ่งโค้งนี้จะเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง และมีคนตายอยู่เป็นประจำ ที่หมู่บ้านของป้อมนั้น หากมีคนตายโหงในสถานที่ใดๆ บรรดาญาติพี่น้องของคนตายนั้น จะนำข้าวปลาอาหาร และขนมนมเนย จัดใส่กระทงใบตองมาวางไว้ตรงจุดที่มีเกิดเหตุนั้น ด้วยความเชื่อว่า คนที่ตายไปแล้วนั้นจะได้ไม่อดไม่อยาก เย็นวันหนึ่ง ป้อมและเพื่อนๆ พากันมาเตะบอลที่ลานกีฬานั้น ขณะที่กำลังเตะบอลกันอย่างสนุกสนาน มีจังหวะหนึ่งที่ป้อมนั้นเตะบอลออกนอกสนามไปตกแถวๆ ทางโค้ง ป้อมเลยวิ่งไปเก็บลูกบอลเพื่อจะนำมาเล่นต่อ โดยที่ไม่ได้สังเกตเลยว่าลูกบอลนั้นมันไปตกใส่กระทงอาหารที่มีคนมาวางไว้จนคว่ำ อาหารตกลงพื้นกระจายหมด.. ป้อมกับเพื่อนเตะบอลกันต่อจนเกือบ 2 ทุ่ม จึงพากันแยกย้ายกลับบ้าน บ้านของป้อมนั้นอยู่ไม่ไกลจากลานกีฬาเท่าไร ป้อมเลยเดินกลับ ส่วนเพื่อนๆ ที่บ้านอยู่ไกลก็ขี่รถกลับกันไปก่อน ถัดจากลานกีฬาไปจะมีศาลาประชาคมหมู่บ้าน ที่ศาลาจะมีแท็งค์

เอากูลงไปหน่อย

รูปภาพ
     เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวผมเมื่อตอนอายุประมาณ 10 ขวบเท่านั้น บ้านผมอยู่จังหวัดสุโขทัยครับ ในอำเภอที่ผมอยู่นั้น ส่วนมากจะทำสวนผลไม้กันเป็นส่วนใหญ่ เช่นสวนมะม่วง สวนกล้วย สวนละมุด เป็นต้น อาจจะมีปลูกต้นไม้อื่นแซมเพิ่มในสวนบ้าง เช่นมะปราง กระท้อน ขนุน มะพร้าว อะไรประมาณนี้ และเรื่องมันก็เกิดขึ้นในสวนผลไม้นั่นล่ะครับ ช่วงนั้นเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว น้ำค้างเริ่มลงมาบ้างแล้ว ซึ่งน้ำค้างนั้นเป็นอาหารชั้นดีของเหล่าจิ้งหรีด ซึ่งในสวนผลไม้จะมีจิ้งหรีดอยู่เป็นจำนวนมาก และเจ้าจิ้งหรีดนี่ล่ะ เป็นอาหารโปรดของผมเลยทีเดียว คืนนั้น เสียงจิ้งหรีดร้องระงมดังไปทั่วทั้งสวนเลย มันชวนให้น่าออกไปจับยิ่งนัก ผมเลยชวนอาเขยออกไปจับจิ้งหรีดกัน วิธีการจับก็ไม่ยากเท่าไร แต่ถ้าคนไม่เคยก็อาจจะยากสักหน่อย คือธรรมชาติของจิ้งหรีดเวลามันร้อง มันจะออกมาอยู่ที่ปากรูของมัน แต่หากมีอะไรไปรบกวน มันจะรีบมุดเข้ารูของมันทันที เวลาจับเราจะใช้เสียมอันเล็กๆ ปัก เพื่อดักรูมันไว้ไม่ให้มันมุดเข้ารูมันได้ แล้วก็จับตัวมันใส่ขวด ขวดที่ใช้ก็ขวดน้ำอัดลมพลาสติกนั่นล่ะครับ สองคนอาหลานเดินหาจับจิ้งหรีดกันไปเรื่อย จากสวนหนึ่ง

เหมือนโดนสะกด

รูปภาพ
     เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดกับลุง และหลานชายของผม โดยลุงเป็นคนเล่าให้ผมฟังเอง เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 20 กว่าปีก่อนได้แล้ว สมัยนั้นลุงแกจะมีร้านขายกล้าไม้ พันธุ์ไม้ ไม้ผลบ้าง ไม้ประดับบ้าง มีหลากหลายอย่างเลยครับ แล้วจะมีบางครั้งที่ต้องขับรถเพื่อไปรับพันธุ์ไม้จากที่อื่นบ้าง หรือไม่ก็มีลูกค้าสั่งให้ไปส่งบ้าง ซึ่งเวลาไป แกก็จะไปกับลูกชายของแก ซึ่งก็คือหลานของผมนั่นล่ะครับ และเรื่องมันก็เกิดขึ้นครั้งหนึ่งตอนที่ต้องเอาต้นไม้ไปส่งนี่ล่ะครับ ช่วงนั้นเป็นช่วงหน้าฝน ลุงต้องขับรถเอากล้ามะม่วงไปส่งให้ลูกค้าที่ร้านขายกล้าไม้แห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย ปกติเวลาไปส่ง ลุงมักจะเลือกเดินทางในเวลากลางคืนเสมอ เพราะมันไม่ร้อน แถมรถก็ไม่เยอะด้วย ขับสบาย ทางโล่งสะดวกดี คือออกจากบ้านประมาณทุ่ม 2 ทุ่ม ระหว่างที่ลุงกำลังขับไปถึงช่วงทางขึ้นเขา ช่วงเลยอำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ไปแล้วพักหนึ่ง อยู่ดีๆ รถลุงก็เกิดเสียขึ้นมา.. ลองคิดดูครับ บนเขาแบบนั้น เวลาก็ประมาณเที่ยงคืนแล้ว จะหาช่างที่ไหนมาซ่อมได้ ลุงก็เลยต้องจอดรถข้างทาง โชคดีที่ตรงนั้นอยู่ไม่ไกลจากจุดพักรถพอดี แล้วที่จุดพักรถมันจะมีศาลาอยู่ ลุงเลยตัดสิน

อ้วนมาแล้วหรอ

รูปภาพ
     สมัยที่ปายเรียนอยู่ที่จังหวัดลพบุรี ปายมักจะไปอยู่ที่หอแฟนค่ะ ครั้งหนึ่งแฟนปายต้องย้ายออกจากหอเดิมที่เคยอยู่มาหลายปี เนื่องจากหอนั้นมีขโมยชุกชุม ของหายบ่อยๆ จนไปได้หอใหม่อยู่แถววงเวียนในตัวเมือง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย หอนี้จะเป็นตึกแถว 2 ชั้น พื้นที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมาก ย้ายมาคราวนี้มีเพื่อนของแฟนอยู่ด้วยอีก 2 คน แต่ข้อเสียก็มีนิดหน่อย คือเป็นหอที่อับทึบ ไม่ค่อยมีแสงสว่าง ริมกำแพงก็มีต้นโพธิ์ใหญ่ขึ้นบังแสงหมด ปายไม่ได้ไปนอนหอทุกวันนะคะ แต่จะไปช่วงที่ไม่มีเรียน ช่วงว่างๆ ไปนอนอ่านหนังสือหรือเล่นเน็ตค่ะ.. มีอยู่วันหนึ่ง ปายไม่สบายช่วงเช้า เลยโดดเรียนมานอนที่หอ แฟนปายกับเพื่อนเค้าก็ออกไปเรียนตามปกติ ก่อนไปก็จะล็อคบ้านชั้นล่างไว้ค่ะ เป็นการล็อคจากข้างนอก จริงๆ ปกติถ้ามีคนอยู่จะล็อคจากข้างใน แต่วันนั้นปายไม่สบาย ไม่อยากจะต้องลงไปเปิดให้เวลาแฟนกลับมา เลยบอกให้แฟนล็อคจากข้างนอกได้เลย ปายไม่ออกไปไหน ก่อนไปแฟนก็ยังถามว่า ‘อยู่คนเดียวได้นะ?’ ปายก็โอเคอยู่ได้..แล้วปายก็หลับไปจนถึงเกือบเที่ยง ก็ได้ยินเสียงคนไขกุญแจบ้านแล้วเปิดประตูดัง ‘แอดด..’ ก็คิดว่าแฟนคงกลับมาแล้ว แต่ก็แปลกที่ไม่

มืดแล้วทำไมยังไม่กลับบ้าน

รูปภาพ
     เรื่องนี้เกิดขึ้นสมัยเราเรียนอยู่ชั้น ป.4 ของโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดสิงห์บุรีค่ะ พอดีว่าเราอยู่บ้านพักครูใกล้กับโรงเรียน เนื่องจากคุณพ่อเราเป็นครูของโรงเรียนนี้.. ช่วงหลังเลิกเรียนวันหนึ่ง เราก็วิ่งเล่นตามประสาเด็กอยู่ที่โรงเรียนตามปกติ เพราะว่าบ้านใกล้ ก็วิ่งเล่นจนเย็นบรรยากาศโพล้เพล้ เราก็วิ่งผ่านไปที่ห้องเรียนของชั้น ป.2 ลักษณะห้องเรียนจะมีประตูเข้าออก 2 ทาง ทางหน้าห้องกับหลังห้อง เราวิ่งแล้วก็ชะโงกหน้าเข้าไปในห้องทางประตูหลังห้อง สิ่งที่เห็นคือมีนักเรียนผู้หญิงคนหนึ่ง นั่งอยู่ที่โต๊ะกลางห้อง ก้มหน้า แขนทิ้งมาข้างลำตัว และพัดลมที่เพดานก็หมุนอยู่ เราก็ไม่ได้คิดอะไร วิ่งต่อไปที่ประตูหน้าห้อง กะว่าจะตะโกนถามน้องคนนั้นว่า ‘มืดแล้วทำไมยังไม่กลับบ้าน?’ แต่พอถึงประตูหน้าห้อง ชะโงกหน้าเข้าไปดู ก็พบว่าในห้องเรียนไม่มีใครเลย และพัดลมเพดานก็ไม่หมุนอีกต่างหาก.. เราเลยตัดสินใจเดินเข้าไปในห้อง ตอนนั้นยังเด็กไม่ค่อยรู้เรื่อง ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น เราเดินไปที่โต๊ะตัวที่เห็นนักเรียนผู้หญิงนั่งอยู่ตอนแรก ปรากฏว่าเก้าอี้มีรอยเปียกชื้น และรอบๆ เก้าอี้มีคราบน้ำหยดอยู่พอสมควร ก็เลยคิดว่าเขาคงว

ขึ้นมาสิ มาเล่นด้วยกัน

รูปภาพ
     เหตุการณ์ที่จะเล่านี้เกิดกับอายเองเลยค่ะ อาจจะฟังดูแปลกดูเหลือเชื่อ โดยจะแบ่งเป็น 3 ช่วงเวลาที่ต่างกัน มาในรูปแบบของความฝันล้วนๆ ไม่มีตัวตน แต่อายสัมผัส และจำมันได้ดี เพราะมันเกือบจะพรากชีวิตของอายไปจากครอบครัวเลยทีเดียว ครั้งแรกคือตอนอายจะจบ ม.3 ย้อนไปก็ราวๆ 10 กว่าปีที่แล้ว และนี่คือจุดเริ่มต้นค่ะ คืนก่อนวันปัจฉิม อายฝันว่าอายขี่จักรยานเข้าไปในป่า ขี่เข้าไปเรื่อยๆ ไปพบลานโล่งๆ กว้างๆ มีบ้านทรงไทยหลายหลังมาก สวยๆ ทั้งนั้น ผู้คนที่นั่นดูมีความสุข ยิ้มแย้ม และคุยกันเสียงเซงแซ่ แต่อายจับใจความไม่ได้ จนอายไปเจอบ้านทรงไทยหลังหนึ่ง ที่หลังใหญ่กว่าทุกๆ หลัง ทันใดนั้น ก็มีคนแก่ชายหญิง และเด็ก กวักมือเรียกอาย พูดว่า ‘ขึ้นมาสิ มาเล่นด้วยกัน..’ ในฝันอายก็ขึ้นไปนะ ขึ้นไปทำไมก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกัน จนเกือบถึงบันไดขั้นสุดท้าย และตอนนั้นเอง ก็มีเสียงคนแก่อีกคนซึ่งไม่รู้ว่าใคร ร้องขึ้นว่า ‘มึงจะขึ้นไปทำไม ลงมา! แล้วกลับบ้านมึงไป จะมืดอยู่แล้วจะไปเล่นทำไม?’ ด้วยความที่อายกลัว เลยรีบลงไปจากตรงนั้น ก่อนจะสะดุ้งตื่นขึ้นมา.. และในวันรุ่งขึ้น หลังจากงานปัจฉิมเสร็จ อายกำลังจะเดินไปขึ้นรถรับ-ส่ง อา