บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก กันยายน, 2019

สร้างหมู่บ้านทับป่าช้า

รูปภาพ
     เรื่องนี้เป็นเรื่องตอนสมัยเด็กของคุณบีบี โดยสมัยนั้นคุณพ่อของคุณบีบี ได้ย้ายไปทำงานที่จังหวัดนครปฐม และซื้อบ้านไว้หลังหนึ่ง เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่บ้านอาศัยอยู่กันทั้งหมด 4 คน พ่อ แม่ พี่ชาย และตัวคุณบีบีเอง คุณบีบีเล่าว่า..ตอนนั้นเราเรียนอยู่ชั้นประถม ก็เล่นตี่จับ วิ่งไล่จับ กับเพื่อนๆ แถวบ้านตามประสาเด็ก วันหนึ่งที่เป็นช่วงไหว้เจ้า ตอนสายๆ เราก็ไปเล่นปีนกำแพง กับเพื่อนผู้ชายอีกคนหนึ่ง ในหมู่บ้านเราจะมีบ้านของคุณครูใหญ่โรงเรียนเอกชน ที่จะปลูกเป็นบ้านไม้เรีอนไทย และก็มีสวนร่มรื่น มีชิงช้า รอบบ้านล้อมด้วยกำแพงอิฐ เรากับเพื่อนก็ไปปีนกำแพงบ้านของครูใหญ่ พอปีนขึ้นมาหน้าพ้นกำแพง จังหวะนั้นเราเหลือมองไปที่ชิงช้า ซึ่งชิงช้าจะอยู่ติดกับขอบกำแพงเลย มีผู้หญิงผมยาวคนหนึ่ง นั่งไกวชิงช้าหันหลังให้เรา เราก็แอบมอง สักพักผู้หญิงคนนั้นเงยหน้าขึ้นมามองบี ภาพที่เห็นคือหน้าผู้หญิงคนนั้นบิดเบี้ยว เหมือนมีตาข้างเดียว ดูน่ากลัวมาก แล้วมองหน้าเราแบบสงสัย จะยิ้มก็ไม่เชิง เราตกใจ ปล่อยมือจากกำแพงตกลงมา แล้ววิ่งกลับบ้านทันที พอกลับถึงบ้านมา เราไม่กล้าเล่าให้ใครฟังเลย จนคืนนั้น หลังจากถวายอาหารไหว้เจ้ากัน

ที่แห่งนี้ห้ามสวดคาถาชินบัญชร

รูปภาพ
      เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่มหาวิทลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดนครปฐม เรื่องมีอยู่ว่า...เราเป็นคนกรุงเทพฯ อยู่แถววงษ์สว่าง ดังนั้นการได้ไปเรียนที่นครปฐม ต้องเดินทางไกลมากๆ เราเลยได้อยู่หอใน ของมหาวิทยาลัย โดยจะแยกเป็นตึกชาย ตึกหญิง และปิดเป็นเวลา ห้องเราจะอยู่กัน 3 คน คือเรา ป่าน และเกด มีอยู่คืนหนึ่ง เราอยู่กับป่าน 2 คน เพราะเกดขอไปนอนกับเพื่อนอีกห้องหนึ่งที่อยู่ในหอเดียวกัน ช่วงนั้นเป็นช่วงใกล้สอบ เราก็จะอ่านหนังสือกันดึกๆ ทุกคืน ตอนนั้นก็ตี 2 ได้แล้ว ป่านก็ขอตัวเข้านอน โดยที่ก่อนนอนเราก็จะเห็นป่านสวดคาถาชินบัญชรเป็นประจำทุกคืน ส่วนเราก็อ่านหนังสือต่ออีกสักพัก จนสุดท้ายก็เผลอหลับไป จู่ๆเราก็ต้องสะดุ้งตื่น เพราะเสียงเคาะประตู ตอนนั้นเราก็เข้าใจว่าคงจะเป็นเกด ที่จะกลับมานอนที่ห้อง พอเราเดินไปที่ประตู (ประตูที่นี่ จะมีลักษณะเป็นช่องมุ้งลวด โปร่งด้านบนเหนือศีรษะจนถึงเพดาน และด้านล่างเพื่อให้เห็นขาได้ และปิดทึบล็อคกลอนตรงกลาง ใครเคยอยู่ที่นี่ สมัยก่อนจะรู้ดี) เราก็เหลือบมองที่ช่องด้านล่าง แต่นั่นไม่ใช่ขาของเกด แต่กลับเป็นขาของผู้ชายร่างใหญ่ ที่ข้อเท้ามีโซ่ตร

เพราะไม่เชื่อฟังแม่

รูปภาพ
     ทุกๆ ปี ผมจะไปเยี่ยมแม่ ที่เกาะสมุย แม่ผมมีอาชีพค้าขายอยู่บนเกาะสมุยครับ ผมไปครั้งหนึ่งก็อยู่ประมาณ 3-4 วัน นั่งรถทัวร์จากกรุงเทพฯ ตอนมืด เพื่อที่จะไปถึงท่าเรือเช้าครับ พอผมไปถึงเกาะแล้ว ก็กะว่าจะนอนพักที่บ้านแม่สักพักหนึ่ง แต่กลับนอนยาวมาถึงเย็นเลย ผมก็ออกมาช่วยแม่ขายของช่วงเย็นพอดี พอช่วยแม่ขายของเสร็จ เก็บร้านกันเกือบๆ 5 ทุ่มแล้วครับ ผมบอกแม่ว่า จะเข้าไปในเมือง ไปเล่นเกมหน่อย แต่ที่ที่ผมอยู่ มันไกลจากตัวเมืองพอสมควร แม่ผมได้ยินทีแรกก็ห้ามครับ บอกว่าช่วงกลางคืน บนเกาะอันตรายมากอย่าไปเลย แต่ด้วยความที่ผมติดเกม ยังไงก็จะไปให้ได้ สุดท้ายก็ดื้อออกไปจนได้ ระยะทางจากบ้านผม เข้าเมือง ประมาณ 25 กิโลเมตรครับ เพราะผ่านหลายตำบลบนเกาะ ผมยืมรถมอเตอไซค์น้าไป ออกจากบ้านประมาณ 5 ทุ่มครึ่ง ก็ขี่ไปปกติ มองรอบๆ นี่เป็นป่าหมดเลยครับ ขึ้นเขาลงเขาเป็นช่วงๆ ไฟถนนมีบ้าง ไม่มีบ้าง บ้านคนตามถนนข้างทาง ห่างกันเยอะมาก กว่าจะเจอแต่ละหลังก็หลายกิโลอยู่ จนมาถึงร้านเกม ได้เล่นสมใจอยาก ยาวไปจนถึงตี 3 เจ้าของร้านก็มาบอกว่าจะปิดแล้วนะ ทีแรกผมนึกว่าเปิด 24 ช.ม. เหมือนกรุงเทพฯ ตอนก่อนกลับ มีมาทักผมด้วยนะครับว่

ไม่กล้านอนกับเพื่อนสนิท

รูปภาพ
     เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 6-7 ปีที่แล้ว เรามีเพื่อนอยู่คนหนึ่งชื่อปอ ที่บ้านปอเป็นคนเคร่งศาสนา พ่อแม่ของปอเป็นคนทรงทั้งคู่ และปอก็เคยเล่าให้เราฟังว่า ปอเองก็เคยมีองค์มาลงเหมือนกัน ซึ่งตอนนั้นเราเป็นคนที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่ ก็เลยไม่ได้คิดอะไร ที่เราจะเล่าเป็นเหตุการณ์ตอนที่ไปเข้าค่ายอาสาเมื่อสมัยมัธยมปลาย โดยตอนนั้น เรา ปอ และเพื่อนๆ ในชั้นเรียนก็ไปกันโดยรถทัวร์ของโรงเรียน มีประมาณเกือบ 40 คน จุดหมายคือจังหวัดอุบลราชธานี ออกเดินทางบ่ายวันศุกร์ กลับเย็นวันอาทิตย์ ค้าง 2 คืนค่ะ ค่ายอาสาครั้งนี้ คือการไปเรียนรู้การใช้ชีวิตของชาวบ้านท้องถิ่นที่นั่น พอเดินทางไปถึงก็มืดแล้ว ที่พักของเราจะเป็นโรงแรมเล็กๆ ที่อยู่ค่อนข้างลึกเข้าไปจากถนนสายหลัก เรานอนห้องเดียวกับปอ ซึ่งตอนนั้นเราสองคนยังไม่ได้สนิทกันมาก เพราะปอเพิ่งย้ายมาจากโรงเรียนอื่นได้ไม่นาน หลังจากอาบน้ำทำธุระส่วนตัวกันเสร็จ ก็ปิดไฟเข้านอนเลย โดยเปิดไฟห้องน้ำ และแง้มประตูไว้นิดหน่อยให้พอมีแสงสว่าง กลางดึกคืนนั้นเราตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงคนพูดอะไรพึมพำอยู่ใกล้ๆ เราตกใจมาก เลยหันไปที่ปอ เราเห็นปอนอนหลับตา แต่ปาก

ถึงกับอึ้งเมื่อได้ถามพี่ รปภ.

รูปภาพ
     เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ผมเป็นนักศึกษาคณะนิเทศ เอกภาพยนตร์ ของมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง และในช่วงปีสุดท้าย ก็จะมีงาน ที่จะต้องออกกอง ไปถ่ายทำนอกสถานที่บ่อยๆ สำหรับครั้งนี้ เป็นการถ่ายทำหนังสั้น ผมเป็นคนเขียนบทเองนะครับ และเป็นคนที่ต้องแสดงด้วย วันนั้นผม โอมเพื่อนผม และพี่ทีมงาน ขับรถไป 2 คัน สถานที่ที่ยกกองกันไป จะเป็นตึกออฟฟิศสำนักงาน รอบนอกกรุงเทพฯ ผมได้ทำหนังสือขอใช้พื้นที่มาล่วงหน้าแล้ว พอมาถึง ผมก็แจ้ง รปภ. ที่ป้อม และนำรถขึ้นไปจอดกันอยู่ที่ชั้น 6 ก็ถ่ายทำกันตั้งแต่ช่วงสาย ไปจนถึงประมาณ 5 ทุ่มกว่า ก็จะมาถึงฉากสุดท้าย ที่ผมจะต้องเล่นกับ โอม ที่เป็นนักแสดงชายอีกคน โดยบทของผมในส่วนนี้คือ ต้องพยุงเพื่อนที่เมาขึ้นรถ และพูดว่า “วิทยา เดี๋ยวกูจะพามึงกลับบ้านเอง” และก็ขึ้นรถขับไป เป็นอันจบเมื่อถ่ายทำจนเสร็จเรียบร้อย ประมาณเที่ยงคืน พวกผมก็เก็บของขึ้นรถ โดยที่คันผมขับลงไปก่อน และอีกคันของพี่ทีมงาน ขับตามลงมา ระหว่างที่ขับวนรถลงมาจากชั้น 6 เรื่อยๆ ผมก็ไปเห็น รปภ. คนหนึ่งที่ยืนพิงอยู่ที่เสาต้นหนึ่ง และมองตามรถของเรา ผมวนรถลงมาจนถึงชั้นล่างอย่างเร็วมากๆ และมาจอดอยู่ที่ริมถน

อยู่ในบ่อ2วัน2คืน

รูปภาพ
     เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ผมยังเป็นเด็ก ตอนนั้นอายุประมาณ 9 ขวบได้ ผมจะเล่าจากในความทรงจำของผม บวกกับสิ่งที่พ่อแม่เล่าให้ผมฟัง เพราะมันเป็นเหตุการณ์ ที่ไม่มีใครลืมจนทุกวันนี้ครับครอบครัวของผม เป็นคนจังหวัดจันทบุรีครับ พ่อแม่ก็จะพาผมไปวัดเป็นประจำ ไม่ว่าจะมีงานวัด หรืองานบุญ และวันที่เกิดเรื่องก็คือวันที่ไปงานสรงน้ำพระประจำปี ที่วัดก็จะมีเด็กๆ ลูกๆ ของชาวบ้านแถบนั้นมาเล่นกันเยอะแยะ ด้วยความเป็นเด็ก ผมก็แยกจากพ่อแม่ ไปเล่นกับเพื่อนกลุ่มใหม่ที่หลังวัด เพื่อนกลุ่มนี้กำลังจะเล่นซ่อนแอบกันอยู่พอดี โดยที่มีกันประมาณ 8 คน รวมผมด้วย ก็โอน้อยออกกัน และผมก็เป็น 1 ใน 7 คนที่ต้องไปซ่อนเพื่อนที่เป็นฝ่ายหา ก็หลับตาที่ต้นไม้นับไป ส่วนผมและเพื่อนที่เหลือก็วิ่งหาที่ซ่อนกันในวัด ผมวิ่งแยกไปไกลกว่าใคร จนไปเจอเด็กผู้หญิงในกลุ่ม ที่วิ่งไปซ่อนในบ่ออิฐ ลักษณะคล้ายบ่อน้ำ แต่ไม่ลึก ผมก็เลยลงไปด้วย และก็ปิดฝาด้านบนไว้ ก็ยังหัวเราะกับเด็กผู้หญิงคนนั้น ว่าคงไม่มีทางหาเจอ ผมชวนคุยไปเรื่อย ก็เลยรู้ว่าเด็กคนนั้นชื่อทับทิม.. ผมจำได้ว่าตอนนั้น ผมเผลอหลับไปแค่ไม่นาน พอตื่นขึ้นมาอีกที ในนี้มืดสนิทเลย ผมก็พูดกับทั

ของเก่าโบราณ

รูปภาพ
     วันนี้ก็มีเรื่องเล่าของบุคคลท่านหนึ่งมาเล่าให้ฟัง เขาเล่าว่า...เราเรียนจบ และทำงานมาได้ประมาณสิบปี ก็มีเงินเก็บก้อนหนึ่งพอที่จะซื้อบ้านให้ตัวเองได้แล้ว ช่วงนั้นก็สนุกกับการแต่งบ้าน เราเป็นคนชอบเฟอนิเจอร์แนวโบราณ วินเทจๆ ก็จะตระเวนหาของเก่ามาแปลงโฉมใหม่ เพราะเราเชื่อว่าของที่ทำสมัยก่อน เป็นไม้แท้ที่คุณภาพดี ผิดกับของที่ขายในปัจจุบัน ที่มักจะเป็นไม้อัดราคาถูก และเราก็ไปได้โต๊ะเครื่องแป้งโบราณตัวหนึ่ง ที่สวยมากๆ และราคาไม่แพง มาจากตลาดขายของเก่าแถวนนทบุรี หลังจากส่งให้ช่างไม้ไปซ่อมแซม ขัดทำสีใหม่ เราก็เอาเข้ามาไว้ในห้องนอน ผ่านไปหลายวันทุกอย่างก็ปกติดี จนมีอยู่วันหนึ่ง เรากลับมาบ้านดึก หลังจากอาบน้ำเสร็จ ก็มาทาครีมที่โต๊ะเครื่องแป้ง และก็เหลือบไปเห็นหวีของเรา ที่มีผมพันอยู่เยอะผิดปกติ แต่ก็ยังไม่ได้เอะใจ ก็เข้านอนเลย กลางดึกคืนนั้นเราก็ต้องตื่นขึ้นมา เพราะได้ยินเหมือนเป็นเสียงเคาะกระจกหน้าต่าง สองสามครั้ง เราลุกไปที่หน้าต่าง แต่ก็ได้ยินเสียงเคาะกระจกอีก แต่มันไม่ใช่เสียงจากหน้าต่าง แต่เป็นเสียงเคาะมาจากกระจกโต๊ะเครื่องแป้ง เมื่อหันไป สิ่งที่เราเห็นคือ ในกระจกมีภาพสะท้อนของหญิงไท

สายเรียกเข้าสุดท้ายจากแม่

รูปภาพ
      วันนี้ก็มีเรื่องเล่าของบุคคลท่านหนึ่งมาเล่าให้ฟัง เขาเล่าว่า... เราอาศัยอยู่กับแม่ 2 คน ที่จังหวัดนครสวรรค์ พ่อเราเสียไปแล้วตั้งแต่เด็กๆ และเราก็ได้เข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ และก็ทำงานต่อเลย ทุกๆวันแม่จะโทรมาหาเรา ถามว่าทำอะไรอยู่ กินอะไรรึยัง นอนรึยัง คำถามเดิมๆ ที่แม่ก็ไม่เคยเบื่อที่จะถาม และเราก็ตอบไปแบบเดิมๆ ใช้เวลาคุยกับแม่ครั้งหนึ่งไม่กี่นาที เราก็ตัดบทวางไป ตอนนั้นเราเพิ่งมีแฟน ชื่อเอ (นามสมมติ) เราใช้เวลาส่วนมาก หมดไปกับการคุยโทรศัพท์กับเอ และด้วยความที่ต้องทำงานหนัก กับติดแฟน ทำให้เราแทบไม่ได้กลับบ้านไปหาแม่เลย คืนวันหนึ่งขณะเราคุยโทรศัพท์กับเอ แม่ก็โทรมาหาเป็นสายซ้อน เราก็ไม่ได้รับ เพราะคิดในใจว่า ก็คงโทรมาถามสารทุกข์สุขดิบเหมือนทุกวัน หลังจากวางสายจากเอ เราก็นอนหลับโดยที่ก็ไม่ได้โทรกลับหาแม่ พอเช้ามาเราก็ตื่นเพราะเสียงโทรศัพท์ เป็นอาของเราโทรมาหาด้วยเสียงสั่นๆ บอกว่าตั้งใจฟังดีๆนะ เมื่อคืนนี้โจรขึ้นบ้านแม่ และแม่ก็ขัดขืน ต่อสู้ จนกระทั่งถูกแทงเข้าที่ท้องเสียชีวิต แต่ตอนที่ไปเจอศพ แม่แกถือโทรศัพท์อยู่แน่นเลย และในรายการโทรออก กลับไม่มีเบอร์ตำรวจหรือ เบอร์โรง

วิ่งแบบไม่คิดชีวิต

รูปภาพ
      เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อหลายปีที่แล้ว ตอนนั้นผมอยู่มหาวิทยาลัยชั้นปีที่ 1 ผมอาศัยอยู่หอใกล้กับมหาวิทยาลัย คงเพราะเป็นช่วงวัยรุ่นรักสนุก กลางคืนก็จะจับกลุ่ม ขับรถออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ เป็นประจำ คืนหนึ่งหลังจากเที่ยวกลางคืน ก็เมากันพอสมควร วันนั้นไปกันสี่คน มีผม หน่อง ตี่ กับแพรแฟนของตี่ ผมก็เสนอไอเดียขับรถไปสำรวจบ้านร้างกันต่อ เพราะจะมีบ้านอยู่หลังหนึ่งที่เป็นบ้านร้างที่ค่อนข้างมีคนพูดถึงเยอะ และพวกผมก็เคยขับรถผ่านกันอยู่บ่อยๆ ทุกคนก็เห็นดีเห็นงาม ผมก็เลยขับรถไปกัน พอไปถึงบ้านหลังนั้นก็จอดรถลงกันมา ไม่ได้ดับเครื่อง ด้วยความที่ตอนนั้นเวลาก็ ตี 2 ครึ่งได้แล้ว กับบรรยากาศที่เย็น และเงียบกริบ มืดสนิท มีเพียงแสงจากไฟหน้ารถ และไฟฉาย 2 กระบอกที่เตรียมมา ทุกคนก็ดูไม่คึกเหมือนตอนอยู่ในรถ แพรเริ่มใจคอไม่ดี เลยพูดขึ้นว่า จะดีหรอวะ กลับกันเถอะ ผมเลยบอกว่าไหนๆก็มาแล้ว ลองเข้าไปในบ้านนิดเดียวก็ยังดี จากนั้นผมกับหน่องก็เดินผ่านทางเดินที่เต็มไปด้วยหญ้าคา เข้าไปที่ประตูบ้านด้านใน โดยที่ตี่กับแพรก็เดินตามมาห่างๆผมบิดลูกบิดประตู แต่เปิดไม่ได้เพราะมันล็อคอยู่ จากนั้นหน่องก็เดินอ้อมไปข้างตัวบ้าน เห

ถ่ายรูปแบบแหวกแนว

รูปภาพ
     เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อหลายปีที่แล้ว ช่วงนั้นผมเรียนมหาวิทยาลัย ปี 2 คณะนิเทศศิลป์ครับ และก็เป็นเทอมที่มีการเรียนถ่ายภาพ สมัยนั้นยังเป็นกล้องฟิล์มอยู่ ซึ่งก็จะมีโปรเจคที่จะต้องไปถ่ายรูปตามที่ต่างๆ และพอถึงโปรเจคสุดท้าย ซึ่งเป็นโปรเจ็คกลุ่มละ 3 คน ที่สามารถจะคิดคอนเซ็ปได้เองตามใจชอบ กลุ่มผมก็คิดไอเดียแปลกๆ คือเลือกที่จะตระเวนถ่ายภาพสถานที่เร้นลับ ที่ขึ้นชื่อเรื่องเฮี้ยนๆทั้งหลายครับ พวกผมก็ตระเวนออกรถไปถ่ายหลายๆที่ เช่นสุสานโสเภณี บ้านร้างแถวลาดพร้าว และย่านเมืองทอง และตึกร้างผีสิงทั้งหลายในเมือง โดยคอนเซ็ปภาพที่พวกผมถ่าย จะเป็นการก้มถ่ายภาพลอดหว่างขาทุกภาพ ภาพจะออกมาแปลก แหวกแนว และดูเป็นการท้าทายความเชื่อ ในแต่ละที่ที่พวกเราไป เราก็ไม่ได้ไปลบหลู่อะไร และก็มีการจุดธูปขอขมาทุกครั้ง หลังจากพวกผมตระเวนถ่ายรูปมาได้พอสมควร ก็มาถึงเวลาที่จะต้องเข้าห้องมืดเพื่อล้างรูป รูปออกมาสวย และได้อย่างที่ต้องการ แต่ผมก็มาสะดุดกับรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นรูปที่ถ่ายในตึกร้างผีสิงแห่งหนึ่ง ที่ว่ากันว่ามีคนผูกคอตายอยู่ที่ชั้น 4 ซึ่งในรูปก็ปรากฏเป็นเงาลางๆ เหมือนเป็นช่วงหน้าผาก กับตาของคนที่ด้านล่างของรูป ซ

ฝันพาเจอศพ

รูปภาพ
      บ้านของคุณอุ๊อยู่ที่เขตห้วยขวาง เป็นบ้านชั้นเดียว คือหลังบ้านจะเป็นระเบียงไม้ยื่นลงไปในคลองลาดพร้าวเลย บ้านนี้คุณอุ๊อยู่กับสามีมาเป็นสิบปีแล้ว และตอนนี้สามีคุณอุ๊ก็เสียไปแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยมีเหตุการณ์อะไรเลย จนมีอยู่ช่วงหนึ่ง คุณอุ๊ป่วย เป็นไข้หวัดธรรมดา ก็ได้ไปหาหมอที่คลินิค และได้ยามาทาน ก็จะมียาแก้หวัดที่ทำให้ง่วงนอนอยู่บ้าง ทำให้ช่วงนั้นคุณอุ๊ต้องนอนพักผ่อนมากกว่าปกติ คืนหนึ่งก็ฝันแปลกๆ ว่ามีชายคนหนึ่งใส่เสื้อสีดำ สภาพเปียกน้ำโชกไปทั้งตัว มายืนหน้าเตียง มองมาที่คุณอุ๊ โดยที่ด้านหลังชายคนนั้น เป็นนาฬิกาติดผนังบอกเวลา 05:20 และจากนั้นชายคนนั้นก็เดินไปทางหน้าต่าง แล้วก็หายไปเฉยๆ ตอนนั้นคุณอุ๊ก็ตกใจสะดุ้งตื่นขึ้นมา หัวใจเต้นแรงเลย พอมองไปที่ผนังหน้าเตียง ก็เห็นนาฬิกาเป็นเวลา 05:19 ก็ไม่ได้คิดอะไร จึงเดินไปเข้าห้องน้ำพอเดินกลับมาจากห้องน้ำ อุ๊ตกใจกลัวมาก เพราะตรงพื้นที่หน้าเตียงอุ๊ มีน้ำเปียกอยู่เต็มไปหมด และที่นาฬิกาก็เป็นเวลา 05:20 นาทีเหมือนในฝันเมื่อกี้.. จากนั้นคุณอุ๊ก็ออกจากบ้านไป และโทรหาเพื่อนข้างบ้าน โดยที่ไม่เกรงใจเวลานอนเลย เพราะตอนนั้นกลัวมากๆ พอออกไปที่ระเบียงหลั

ร่วมรักกับผี

รูปภาพ
      เมื่อสมัยยังเรียนมหาวิทยาลัย เราก็ถือว่าเป็นคนหนึ่งที่ดูดี แต่เราก็ยังไม่เคยมีแฟนเลย อาจจะเป็นเพราะเราช่างเลือกก็ได้ในตอนนั้น วันหนึ่งเราไปห้องสมุดกับเพื่อนอีก 2 คน เพื่อนเราคนหนึ่งก็ไปอ่านเจอเรื่องของความเชื่อแปลกๆที่ว่า ถ้าจุดเทียนและปอกเปลือกแอปเปิ้ลหน้ากระจกตอนเที่ยงคืน จะเห็นเนื้อคู่ในกระจก โดยที่จะต้องปอกเปลือกแอปเปิ้ลไม่ให้ขาดเลยในครั้งเดียว ฟังแล้วทุกคนก็หัวเราะ และก็บอกให้เราลองกลับไปทำดู เผื่อจะได้รู้ว่าแฟนจะหน้าตาเป็นยังไง ในใจเราก็ไม่ค่อยเชื่ออะไรพวกนี้อยู่แล้ว แต่คืนนั้นเราก็ลองทำเล่นๆดู โดยที่จุดเทียนหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง และเตรียมมีดมาปอกเปลือกแอปเปิ้ล พอนาฬิกาเป็นเวลาเที่ยงคืนเราก็เริ่มปอกเปลือก ซึ่งเราเป็นคนปอกเปลือกแอปเปิ้ลได้อยู่แล้ว มันก็เลยไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเราที่จะปอกเปลือกออกทั้งหมดไม่ให้ขาด เมื่อเราปอกเปลือกเสร็จ เราก็เงยหน้ามองที่กระจก แต่สิ่งที่เห็นก็คือหน้าตัวเอง ไม่ได้มีอะไร ซึ่งเราก็คิดในใจว่า ก็มันเป็นแค่ความเชื่อ มันจะเป็นไปได้ยังไง แล้วเราก็เข้านอน วันต่อมาเราตื่นขึ้นมา เพื่ออาบน้ำเตรียมตัวไปมหาวิทยาลัย ตอนอาบน้ำ เราก็สังเกตุเห็นที่ต้นแขนมีรอ

พ่อที่เสียมาเตือนลูกชาย

รูปภาพ
     เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน โดยผมกับเจตเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมต้น เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อผมเรียนอยู่ม.ปลาย จนตอนนี้เราทำงานกันแล้ว และด้วยความใจดีของครอบครัวเจต ที่ให้ผมย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านด้วย จะได้ไม่ต้องไปเช่าหออยู่เอง เนื่องจากผมมาจากต่างจังหวัด ครอบครัวของเจตจะมีแม่ และพี่สาวของเจตอีกสองคน ส่วนพ่อของเจตนั้นเสียไปแล้ว เนื่องจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเกือบ 5 ปีมาแล้ว ผมและเจตก็เป็นเหมือนพี่น้องกันเลยครับ เพราะเรานอนห้องเดียวกัน อยู่บ้านเดียวกัน และไปเรียนที่เดียวกัน คืนหนึ่งในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน ผมตื่นขึ้นมากลางดึก เพื่อลุกไปเข้าห้องน้ำ พอทำธุระเสร็จผมก็กลับมาที่เตียง แม้จะมืดหน่อย แต่ผมเห็นเงาของชายคนหนึ่ง หน้าตาเศร้าๆ นั่งอยู่ที่ปลายเตียงตรงเท้าของเจต และมองมาที่เจตที่กำลังหลับอยู่ ตอนนั้นผมกลัวมาก พยายามไม่มอง และรีบเข้าไปในผ้าห่มคลุมโปงทันที วันต่อมาผมเล่าให้เจตฟัง แต่เจตก็ไม่เชื่อผม และก็รีบตัดบท เพราะเจตเป็นคนก็ขี้กลัว เย็นวันนั้นแม่เจตใช้ให้เจตออกไปซื้อกับข้าวจากตลาดแถวบ้าน โดยที่เจตก็ชวนผมไป แต่ผมไม่ได้ไป ระหว่างที่เจตกำลังเอารถมอเตอไซค์ไปที่ประตูหน้าบ้

ชุดจากศพตายโหง

รูปภาพ
     เราเป็นพนักงานราชการบรรจุใหม่ที่เชียงใหม่ และก็ได้ถูกส่งไปอบรมที่เชียงราย 2 วัน จริงๆก็อบรมวันเดียว ส่วนอีกวันก็คือไปเที่ยวนั่นเอง และเราก็ได้ไปแถบแม่สายที่มีของราคาถูกขายเยอะแยะมากมาย เราก็ไปสะดุดกับชุดกระโปรงยาวลายดอกสีดำตัวหนึ่ง เราเห็นว่าสวย และราคาก็ไม่แพง จึงตัดสินใจซื้อมาในราคาเพียง 350 บาท คืนนั้นหลังจากกลับมาถึงบ้านที่เชียงใหม่ เราเข้าห้องนอน ก็เก็บเสื้อผ้าที่ซื้อ เครื่องประดับ และข้าวของอื่นๆ เข้าตู้เสื้อผ้า ทำธุระส่วนตัว และก็เข้านอนตามปกติ คืนนั้นเรารู้สึกใจสั่นๆ วูบๆ บอกไม่ถูก แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คล้ายกับตกจากที่สูง เป็นแบบนั้นทั้งคืนเลย มันทำให้เรานอนไม่ค่อยหลับ ในคืนต่อมาพอเราเข้ามานอนในห้อง ครั้งนี้มันอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก เหมือนมีคนจ้องเราอยู่ และในกลางดึกคืนนั้นเอง เราก็ต้องตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกเหมือนมีเสียงหายใจแรงๆ อยู่ข้างๆ หู เสียงมันเหมือนเสียงสะอื้น เราตัดสินใจเปิดไฟหัวเตียง และออกไปเรียกน้องสาวที่อยู่อีกห้องมานอนด้วย เมื่อเรา น้องสาวของเราย้ายมานอนที่ห้อง เราก็เปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อจะหยิบหมอนอีกใบให้ แต่เราก็ต้องร้องกรี๊ดลั่น เพราะสิ่งที่เราเห็นคือใบห

แกล้งเพื่อนแต่ต้องหลอนเอง

รูปภาพ
     เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อหลายปีที่แล้ว นักเรียนหญิงชั้นม.6 ต้องเดินทางไปเข้าค่ายที่จังหวัดเพชรบุรี เราเดินทางกันไปกับสมาชิกชมรม ทั้งรุ่นเรา และรุ่นน้องประมาณ 40 กว่าคน ไปกันด้วยรถทัวร์คันเดียว โดยที่ระหว่างทางเรากับเพื่อนก็จับกลุ่มคุยเรื่องผีกันในรถกับต่าย เพื่อนสนิท และรุ่นน้องอีก 3 คน เล่าไปก็ทั้งกลัว ทั้งขำกัน และตอนนั้นไม่รู้เราคิดยังไง ด้วยความที่สมัยนั้นยังเด็ก เลยอยากรู้อยากลอง เราชวนเพื่อนกลุ่มที่เล่าเรื่องผีว่าคืนนี้เรามาลองเล่นผีถ้วยแก้วกันมั้ย? คืนนั้นเราก็ได้มาพักอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง เป็นตึกเก่าหน่อย แต่ค่อนข้างสูงใหญ่ หลังจากกิจกรรมของชมรมจบ รุ่นน้อง 3 คนก็มารวมตัวกันที่ห้องของเรากับต่าย เพื่อจะเล่นผีถ้วยแก้วกัน ตอนนั้นก็ทำกันง่ายๆ โดยเอาแก้วน้ำของโรงแรม และก็กระดาษเขียนจดหมายมาต่อๆกันเขียนเป็นตารางขึ้นมา และก็จุดธูป 1 ดอก ที่แอบเอามาจากล็อบบี้โรงแรม ที่เค้าคงไว้ใช้สำหรับศาลพระภูมิ เราก็จำมาจากที่เคยอ่าน คือให้นั่งล้อมเป็นวงกลม จับมือกัน แล้วพูดว่า ขอเชิญวิญญาณเร่ร่อนที่อยู่บริเวณนี้ จงเข้ามาในแก้วด้วยเถิด เรา ต่าย และรุ่นน้องอีก 3 คนก็เอานิ้วแตะแก้วกัน ตอนนั้นทุก

ผีโทรแจ้งกู้ภัย

รูปภาพ
     ผมทำงานกู้ภัยของมูลนิธิแห่งหนึ่ง ซึ่งก็มีประสบการณ์สยองขวัญที่เจอมากมาย ทั้งของเพื่อนร่วมงาน แต่เรื่องที่จะเล่าวันนี้เป็นเรื่องที่เจอกับตัวเองจังๆเลย คืนนั้นมีสายแจ้งเข้ามาเป็นผู้หญิงว่าข้างห้องเปิดเพลงเสียงดังรบกวน ตอนนั้นเวลาประมาณตี 1 สถานที่คือ ชั้น 5 ของอพาร์ทเม้นแห่งหนึ่ง แถวลาดพร้าว ผมกับลุงเก่งรับอาสาไปจัดการ ก็ออกรถมอเตอไซค์ซ้อนกันไปพอถึงที่อพาร์ทเม้นท์ที่เกิดเรื่อง ที่นี่ไม่มีลิฟท์ ผมก็เดินขึ้นบันไดไปอย่างไว ส่วนลุงเก่งแกก็ค่อยๆ เดินตามมา เมื่อถึงชั้น 5 ผู้หญิงคนหนึ่งก็รออยู่หน้าห้อง ผมถามว่าห้องไหน เธอก็ชี้ไปที่ห้องเยื้องๆ ไปทางขวามือของผม ซึ่งเสียงเพลงมันก็ดังออกมาจริงๆ ผมก็ลองเคาะห้องดู แต่ก็ไม่มีคนเปิด พอดีมีบานเกร็ดเปิดอยู่ จึงแหวกม่านด้านใน และลองส่องเข้าไปทางขวาก็เห็นทีวีเปิดอยู่ไม่มีใคร พอหันมองทางซ้าย ผมเห็นขาห้อยอยู่ เมื่อมองขึ้นไป ก็เป็นหน้าซีดๆ ของผู้หญิงที่ผมคุยด้วยเมื่อสักครู่ ลิ้นจุกปาก และมองมาที่ผมอยู่ ผมร้องดังลั่น และรีบผละออกจากบานเกล็ดทันที ลุงเก่งก็ถามว่าเจออะไร? แล้วเมื่อกี้เองคุยกับใคร? ตอนนั้นผมขนลุกไปหมด เพราะตรงนั้นมีผมกับลุงอยู่แค่สองคน ผ

ใช้น้ำที่แช่ศพเน่าไม่รู้ตัว

รูปภาพ
     ผมเป็นนักศึกษาชั้นปี 4 ที่ได้ย้ายมาอาศัยอยู่ในหอพักเล็กๆ แห่งหนึ่งในจังหวัดปทุมธานี หอพักนี้มีทั้งหมด 4 ชั้น และผมอยู่ที่ชั้น 4 ห้อง 407 ทุกเย็นวันพุธ และศุกร์ ผมจะไปเตะบอลกับเพื่อนหลังเลิกเรียนเสมอ และวันหนึ่งหลังจากเตะบอล และกินข้าวกับเพื่อนเสร็จ เป้ เพื่อนสนิทของผมก็มานอนด้วยที่ห้อง ในคืนนั้นเอง ราวๆตีสอง ผมหลับไปแล้ว แต่ก็ต้องตื่นขึ้นมา เพราะได้ยินเสียงน้ำจากฝักบัวดังมาจากห้องน้ำ ตอนแรกก็แปลกใจว่าทำไมไอ้เป้ถึงมาอาบน้ำตอนดึกๆ แต่เมื่อลุกขึ้นมา เป้กลับยังคงนอนอยู่ข้างๆผม และเสียงน้ำก็ค่อยๆ หยุดลง ผมตัดสินใจปลุกไอ้เป้ขึ้นมา และเล่าให้ฟัง เราทั้งคู่ก็ไปที่ห้องน้ำ แต่ก็ไม่มีอะไร ตอนนั้นเข้าใจว่าคงเป็นแรงดันน้ำผิดปกติ หรืออะไรสักอย่าง ผ่านไปไม่ถึงอาทิตย์ ผมกลับมาที่ห้องดึก เพราะต้องเตรียมกิจกรรมของมหาวิทยาลัย และผมก็ตัวสกปรกมาก และเหนื่อยมาก จึงตรงเข้าห้องน้ำอาบน้ำทันที ปกติผมจะเป็นคนก้มหัวสระผม ระหว่างสระผม ผมได้กลิ่นหอมของแชมพู ปนกับกลิ่นเหม็นๆ เป็นระยะๆ ก็แปลกใจว่ากลิ่นอะไร จึงลองมองไปที่ท่อระบายน้ำที่พื้น ผมเห็นเส้นผมยาวจำนวนหนึ่ง ซึ่งแปลกมากเพราะผมไม่เคยพาผู้หญิงผมยาวเข้าม

ชะตาขาด

รูปภาพ
     เราได้ย้ายเข้ามาเป็นนักศึกษาปี 1 ของมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เราได้เช่าหออยู่ในมหาวิทยาลัยกับเพื่อนใหม่ชื่อ อร ซึ่งเรียนอยู่คณะเดียวกัน ในวันงานเฟรชชี่ไนท์ ซึ่งจัดขึ้นทุกปี เพื่อต้อนรับน้องใหม่ปี 1 เข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย ในวันนั้นจะมีการเลือกชมรม และในแต่ละคณะก็จะมีการรับน้อง รวมถึงการผูกแขนจากรุ่นพี่ และอาจารย์ด้วย คืนนั้นในระหว่างที่เรา อร และเพื่อนๆ ทุกคนได้เข้าคิวกันไปผูกแขน วิท เพื่อนผู้ชายคนหนึ่งในคณะก็หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปรวมเก็บไว้ และในคืนนั้นพวกเราก็อยู่ดูคอนเสิร์ตกันจนดึก จากวันนั้นผ่านไปประมาณ 2-3 วัน วันนั้นเป็นวันเสาร์ เราอยู่ห้องคนเดียวเนื่องจาก อร ออกไปเที่ยวกับแฟน ช่วงบ่ายวันนั้นเอง วิท เพื่อนในคณะก็โทรมาหาเรา และบอกว่ามีเรื่องประหลาดจะให้ดู เรานัดกันที่ร้านอาหารข้างๆ มหาวิทยาลัย วิท เปิดรูปที่ถ่ายรวมในงานคืนนั้นให้เราดู เราตกใจมากๆ เพราะในรูปรวมนั้นมีเราอยู่ข้างๆ อร แต่อรกลับไม่มีหัว มีแค่เพียงไหล่ลงมาเท่านั้น วิทบอกว่าเพิ่งมาเปิดดูรูปเมื่อเช้านี้ก็มาสะดุดกับรูปนี้ทันที เลยจะเอามาให้อรดู แต่โทรติดต่ออรไม่ได้ เลยโทรมาหาเราแทน เรารีบโทรหาอรทันที แต

รับสาวข้างทางไปส่งที่วัดเสมียนนารี

รูปภาพ
     ในคืนวันหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังเดินทางกลับบ้าน หลังจากไปเที่ยวกับเพื่อนแถวๆรัชดา ระหว่างที่ขับรถกลับ ตอนนั้นเวลาประมาณตี 2 กว่าๆ ก็พบหญิงสาว 2 คน สวมชุดดำทั้งชุดยืนโบกรถอยู่ ตัวผมเองมองกระจกหลัง ก็ไม่เห็นแท็กซี่ตามมาจึงเข้าใจว่าหญิงสาวทั้ง 2 คงโบกเรียกรถของผมเอง อีกทั้งเวลานั้นก็ดึกมากแล้ว แท็กซี่คงหายาก และสองสาวนั้นก็หน้าตาดีด้วย ผมจึงตัดสินใจจอดรับครับ ผมเปิดกระจกเพื่อถามสองสาวชุดดำว่าจะไปไหน สาวชุดดำคนหนึ่งบอกว่า รบกวนช่วยพาไปส่งที่วัดเสมียนนารีที ผมเห็นว่าเป็นทางผ่านจึงตอบตกลงไป เมื่อเธอทั้ง 2 ขึ้นมาบนรถ คนหนึ่งนั่งหน้า ส่วนอีกคนนั่งหลัง ระหว่างทางผมรู้สึกแปลกใจว่าทำไมเธอทั้งคู่ ถึงไม่คุยกันเลย อีกทั้งหน้าตาก็ดูเศร้า แม้แต่เวลาที่ชวนคุย ก็เป็นลักษณะถามคำตอบคำ ผมก็คิดในใจว่าสงสัยจะมีญาติเสียอยู่ที่วัด ทำให้ผมที่ตอนแรกตั้งใจจะขอเบอร์โทรไว้ ต้องหยุดความตั้งใจนั้น เมื่อขับผ่านถนนสายวิภาวดีมาเรื่อยๆ จนมาถึงหน้าทางเข้าวัดเสมียนนารี ขณะที่รถกำลังข้ามทางรถไฟ และเลี้ยวขวา ผมได้มองทางขวาชั่วประเดี๋ยวเดียว แล้วจะหันกลับมาถามว่า ทั้งคู่จะลงตรงไหน แต่ปรากฏว่าเธอทั้งคู่ หายไปแล้ว ระหว่างท

ที่ดินบริเวณนี้เคยเป็นเรือนจำเก่า

รูปภาพ
     เหตุการณ์เกิดขึ้นที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในอำเภอเมือง จังหวัดระยอง เราเป็นนักเรียนหญิงชั้น ม.4 เย็นวันหนึ่งก่อนสอบ วันนั้นนัดติวหนังสือกันต่อกับเพื่อนผู้หญิงอีก 3 คน ที่ห้องเรียน พวกเราก็ซื้อขนมกันมากิน กะว่าคงอยู่กันยาวๆ เย็นนั้นเราทั้ง 4 คนก็ติวหนังสือกันไป จนกระทั่งจอย เพื่อนในกลุ่มบอกว่า เดี๋ยวพักก่อน ขอออกไปเข้าห้องน้ำ และจอยก็แยกตัวไป ระหว่างนั้นที่ห้องเรียน จู่ๆก็มีเสียงทุบประตูหลายๆ ครั้ง เสียงดังมาจากข้างนอก เราและเพื่อนอีก 2 คนตกใจมาก จึงลองออกไปดู และเสียงทุบก็ยังคงอยู่ตลอด มันดังมาจากห้องประชุมที่อยู่ใกล้ๆ เราเห็นว่าประตูถูกล็อคด้วยแม่กุญแจจากด้านนอก แต่เหมือนมีคนพยายามผลักประตูออกมาจากด้านใน จนประตูสั่นไปหมด เราและเพื่อนลองตะโกนเรียก แต่ก็ไม่มีคนตอบ เลยตัดสินใจลงไปข้างล่าง เจอป้าบัว แม่บ้านของโรงเรียนกำลังจะกลับ เราบอกว่ามีคนติดอยู่ในห้องประชุมข้างบนค่ะ ป้าบัวจึงตามขึ้นไป และเห็นว่ามีคนทุบประตูอยู่จริง ป้าบัวใช้กุญแจเปิดล็อคห้องประชุมเข้าไป แต่ปรากฏว่าในห้องประชุมไม่มีคนอยู่เลย และห้องนี้ไม่มีหน้าต่างหรือช่องลมใดๆเลยที่จะทำให้ประตูสั่นขนาดนั้นได้เลย..ทุกคนตกใจแล

เพื่อนมาขอโทษและบอกลา

รูปภาพ
     เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อเกือบ 10 ปีมาแล้ว แต่ยังฝังอยู่ในความทรงจำเป็นอย่างดี ช่วงนั้นเราเรียนอยู่ ปี 2 มหาวิทยาลัย แถวนครปฐม ซึ่งแถวนั้นช่วงกลางคืนจะไม่ค่อยมีร้านค้าอะไรเท่าไหร่ เมื่ออยากจะไปกินข้าว ไปเที่ยวกับเพื่อนก็จะต้องขี่มอเตอร์ไซค์เข้าไปในเมือง มีอยู่คืนหนึ่ง.. วันนั้นเป็นวันสอบวันสุดท้าย เรากับเพื่อนสนิทชื่อโบว์ ก็เลยชวนกันไปเที่ยวกลางคืนในเมือง เรา 2 คนต่างก็แต่งตัวที่ห้องของตัวเอง และลงมาเจอกันที่หน้าตึก ตอนนั้นเป็นเวลา 3 ทุ่มกว่า โบว์เป็นคนขี่มอเตอร์ไซค์โดยที่เราเป็นคนซ้อนท้ายไป เรื่องมันเกิดตอนขากลับ เราทั้งคู่ดื่มแอลกอฮอล์ไปพอสมควร แต่ไม่ถึงกับเมา โบว์เป็นคนขี่มอเตอร์ไซค์เหมือนเดิม เมื่อเดินทางกลับมาในซอยหอ ต้องบอกก่อนว่าในซอยนี้เป็นถนนเล็กๆ เลนสวนกัน ค่อนข้างลึก และเปลี่ยวมาก สองข้างทางเป็นทุ่ง โดยที่มีไฟข้างทางไม่กี่จุดเท่านั้น เมื่อมาถึงเสาไฟต้นหนึ่งจู่ๆ โบว์ก็ร้องขึ้นมาเสียงดังน่ากลัว และหักรถเข้าชนเสาไฟอย่างแรง เรามารู้สึกตัวอีกทีก็อยู่บนเตียงพยาบาลแล้ว ซึ่งเป็นห้องคู่ กั้นด้วยผ้าม่านไว้เท่านั้น ตอนนั้นเป็นเวลาตี 4 ได้ เราเห็นสภาพตัวเองมีบาดแผลเต็มไปหมด แต่ตอ

เห็นผีอำแม่

รูปภาพ
      เราอยู่บ้านกับแม่สองคนที่อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี.. แม่ของเราเป็นหมอที่ต้องทำงานหนัก และพักผ่อนน้อยเป็นประจำ แม่ของเราเล่าให้เราฟังว่าถูกผีอำอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเราเองก็กลัวทุกครั้งที่ฟัง เพราะส่วนมากเหตุการณ์ที่แม่เล่า มักจะเกิดขึ้นที่บัานนี้.. เช่นมีวันหนึ่ง แม่ของเรากลับมาจากงานดึกมาก เมื่อถึงเตียงก็นอนทันที และในคืนนั้นเองก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมากลางดึก เพราะเหมือนมีเสียงคนกำลังหัวเราะในลำคออยู่ใกล้ๆ แต่กลับไม่สามารถลืมตา เปล่งเสียง หรือขยับร่างกายได้เลย และเสียงหัวเราะก็ยังคงอยู่ไปอีกสักพักใหญ่ ซึ่งกว่าจะหายไป และกลับมาเป็นปกติได้ ใช้เวลาอยู่นานมากหรือบางครั้งที่แม่นั่งหลับอยู่ที่เก้าอี้ชั้นล่างก็ยังเคยถูกผีอำ โดยที่ไม่สามารถขยับร่างกายได้ แต่ครั้งนั้นสามารถลืมตามาได้อยู่ครึ่งหนึ่ง แม่พยายามจะเรียกเราที่อยู่ในครัว แต่ก็ไม่สามารถอ้าปากออกเสียงได้เลย สักพักก็มีเสียงเท้าเดินเข้ามาใกล้ๆ แม่เข้าใจว่าเป็นเราจะมาปลุก แต่ด้วยตาที่ลืมได้อยู่เพียงครึ่งหนึ่งจึงมองได้เพียงที่พื้นข้างๆตัว แม่บอกว่าเห็นเป็นเท้าคนที่ดูซีด และมีขนาดใหญ่ มายืนอยู่ข้างๆ แต่แม่เราด้วยความที่เป็นหมอ ก็จะมองไปใน

เพื่อนถามแบบนี้ ก็เหวอดิ!

รูปภาพ
     ผมมีอาชีพขับรถแท็กซี่มา 7-8 ปีแล้ว ซึ่งผมจะเช่ารถแท็กซี่มาขับเป็นรายอาทิตย์จากอู่แท็กซี่แห่งหนึ่งแถวนนทบุรี และรถแท็กซี่ที่จะได้มาขับก็จะไม่ใช่คันเดิมเสมอไป..ช่วงสายวันหนึ่งผมก็ไปรับรถแท็กซี่มาขับตามปกติ ทุกครั้งที่รับรถมาใหม่ ผมก็จะจอดรถไว้หน้าบ้าน และล้างรถทำความสะอาดทั้งภายนอกภายใน แต่ผมก็สะดุดกับคราบสีดำๆ ที่เบาะหลังซึ่งเช็ดยังไงก็เช็ดไม่ออก.. จากนั้นผมก็เข้าบ้านไปนอนเอาแรง เพื่อที่จะออกไปวิ่งรถกะกลางคืน คืนนั้นผมออกจากบ้านมาที่รถแท็กซี่ และผมก็เหลือบไปเห็นรอยคล้ายๆ มือคนที่กระจกผู้โดยสารด้านหลังฝั่งคนขับ ผมจึงเอาผ้าเช็ดรอยมือนั้น แต่เช็ดไม่ออก เพราะเป็นรอยที่เกิดจากด้านในรถ ผมจึงเปิดประตูออกมาเพื่อเช็ดรอยมือออกโดยที่ไม่ได้เอะใจอะไร เพราะคิดว่าคงเช็ดทำความสะอาดไม่ทั่วถึงเอง ผมออกรถจากบ้านแถวนนทบุรี มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ ตระเวนหาผู้โดยสาร คืนนี้มีเหตุการณ์แปลกๆ เมื่อผู้โดยสารโบกรถ ผมแวะจอด แต่ผู้โดยสารกลับมองรถ และมองผ่านไปโบกรถคันหลังแทน ซึ่งเป็นแบบนี้หลายครั้งในคืนนี้ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากนอกจากคิดว่าคืนนี้ได้รายได้น้อยกว่าทุกครั้ง สักประมาณตี 4 กว่า ผมที่วิ่งรถเปล่าเพื่อ

ชั้นที่ 18

รูปภาพ
      เราได้งานใหม่เป็นพนักงานฝ่ายการตลาด และอีเว้นท์ของบริษัทแห่งหนึ่งในเมือง เป็นธุรกิจเล็กๆ ที่เปิดกิจการมาหลายสิบปีแล้ว ออฟฟิศของเราอยู่ที่ชั้น 27 การจะขึ้นลงลิฟท์ของตึกนี้ จะต้องใช้บัตรพนักงานก่อนแล้วจึงกดชั้นเท่านั้น..วันที่เกิดเรื่อง เป็นวันที่บริษัทต้องไปออกบูธขายของ เป็นเวลา 3 วัน เมื่อจบงานในแต่ละวัน ก็จะต้องมีการขนของกลับมาไว้ที่ออฟฟิศ.. หลังจบงานวันสุดท้ายของการออกบูธ เรากับเพื่อนๆ แวะกินข้าวกันจนดึก และทั้งหมด ก็ได้กลับมาเก็บของจากการจัดงานที่ออฟฟิศเหมือนทุกวัน เมื่อเก็บของเรียบร้อย ประมาณเที่ยงคืน ทุกคนก็ลงลิฟท์กลับพร้อมกัน ระหว่างลิฟท์กำลังลงมาได้ไม่กี่ชั้น เรานึกขึ้นได้ว่าวางกุญแจรถไว้บนโต๊ะ เราจึงกดชั้น 18 เพื่อเปลี่ยนลิฟท์กลับไปเอากุญแจ และบอกเพื่อนว่าให้กลับกันก่อนเลย เมื่อได้กุญแจแล้วเราก็กดลิฟท์ลง เมื่อประตูลิฟท์เปิดออก ด้านในมีคนผู้ชายสูงวัยคนหนึ่งลงมาด้วย เราเข้ามากดชั้น 1 โดยที่ ปุ่มชั้น 18 ก็ติดอยู่เช่นกัน เมื่อลิฟท์ลงมาถึงชั้น 18 ประตูเปิดออก เราก็กดปุ่มเปิดค้างไว้เพื่อให้ชายคนนั้นออก แต่ชายคนนั้นก็ไม่เห็นเดินออกไป เราจึงหันไป สิ่งที่เราเห็นคือ.. ลิฟท์ว

วิ่งต่อไม่รอแล้วนะ

รูปภาพ
     เราเคยเจอผีพร้อมกับคนถึง 25 คนในเวลาเดียวกัน ตอนนั้นยังเรียนมหาลัยอยู่ชั้นปี 2 เรากับรุ่นพี่ปี 3 กำลังประชุมเรื่องงานกีฬาสีของมหาลัย ตอนนั้นประมาณ 3 ทุ่มแล้วรุ่นพี่ก็เลยจะปล่อยให้กลับบ้าน แต่ก่อนกลับคณะของเรามีธรรมเนียมว่าจะต้องร้องเพลงของหมาลัยก่อนเลิกทุกครั้งพวกเราทั้งปี 2 และปี 3 ก็มายืนเข้าแถวเรียงหน้ากระดานหน้าตึกคณะแล้วก็ร้องเพลงประจำมหาลัย ขณะที่ร้องเราก็เห็นเด็กหัวจุกใส่โจงกระเบนโผล่หน้าออกมาจากซอกตึก 3 คน เหมือนมาแอบดูว่าพวกเราทำอะไรอยู่ แล้วเพลงก็เกือบจะล่มเพราะคนที่อยู่แถวหลังทำหน้าผงะเป็นแถว ร้องจบรีบวิ่งวงแตกทางใครทางมันค่ะ พอเช้าวันถัดมาเราข้องใจมากเลยไปถามพวกรุ่นพี่ที่อยู่แถวหลังเราว่าเจออะไร พี่เค้าบอกว่า “พวกแกอยู่แถวหน้าน่ะยังดีเห็นเด็กหัวจุกแค่ 3 คน พวกฉันยืนแถวหลังมันพ้นหลังคาตึกมาแล้วไงพอเงยหน้าขึ้นไปเห็นเด็กหัวจุกนั่งห้อยขาเต็มระเบียงเลย”

ผูกคอตายที่ห้องน้ำชั้น5

รูปภาพ
     เรื่องผีมหาลัยนี้ ว่ากันว่าศาลที่ว่านี้เดิมตั้งไว้ที่คณะวิศวะฯ ชั้น 5 ตึกA ว่ากันว่ามีสาวคณะสถาปัตย์ อกหักจากหนุ่มคณะวิศวะฯ เธอจึงมาผูกคอฆ่าตัวตายในห้องน้ำชั้น 5 และศาลดังกล่าว ก็ตั้งขึ้นเพื่อให้วิญญาณของเธอสงบ หลังจากนั้นมาก็มีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นหลายเรื่อง เรื่องที่ดังๆ ก็มี บริเวณที่ชั้น 5 มักจะได้ยินเสียงแปลกๆหรือเห็นเงาคนเดินอยู่ แต่พอดูจริงๆ ก็ไม่มีใครเลย หรือมีคนเห็นนางรำ รำออกมาจากในศาลหรือมีคนเคยเล่าว่าหากใครไปเข้าห้องน้ำตอนดึกๆ จะเหมือนมีคนเข้าห้องน้ำห้องข้างๆด้วย หรือไม่ก็ถ้าไปส่องกระจกในห้องน้ำห้องนี้ก็จะเห็น ผู้หญิงคนที่เค้าผูกคอตายอยู่ด้านหลัง แต่ตอนนี้ศาลดังกล่าวได้ย้ายลงมาอยู่ด้านหลัง คณะวิศวะฯ ตึกเอ แล้ว เป็นศาลใหญ่โตชื่อศาลว่า  “ศาลเจ้าแม่ศรีแพรทอง” ส่วนห้องที่เธอใช้ผูกคอตายนั้นเป็นห้องที่ใช้เก็บของสำหรับแม่บ้านในห้องน้ำ ซึ่งทุกวันนี้ก็ล็อกปิดตายไปเรียบร้อย

ภาพติดตา

รูปภาพ
      เมื่อ 3 ปีก่อน ผมอยู่ม.6 ผมเป็นเด็กเชียงใหม่ครับช่วงนั้นแทบจะทุกอาทิตย์เลย ผมกับเพื่อนๆก็จะชวนกันออกไปสำรวจ(หรือลองของนั้นแหละครับ)ตามที่ต่างๆเช่นป่าช้าบ้างบ้านร้างบ้างหรือแม้แต่รีสอทร์ร้าง ไปเกือบทุกที่เท่าที่จะไปกันได้ เรื่องที่ผมจะเล่านั้นเป็นภาพที่ผม ยากที่จะลืมได้เลยครับ ผมกับเพื่อนราวๆ 10 คนได้ไปกันเยอะมากเพราะกลัวกัน ที่ๆผมไปกันนั้นเป็นบ้านร้างติดๆ กันประมาณ 3 หลัง คนแถวๆนั้นเค้าจะเรียก ว่าบ้าน13 เคยมีรายการๆหนึ่งได้มาสำรวจแล้วด้วย ตอนนั้นจำได้ว่าประมาณ4ทุ่ม ฝนตกปอยๆด้วยเลยทำให้แถวๆ นั้นมืดมากเราเดินเข้าไปเป็น2แถวคู่ ถือเทียนเข้าไป บ้านทั้ง 3 หลังจะมีทางเชื่อมติดกันหลายทางแต่พวกเราเดินเข้าหลังแรกเป็นหลังใหญ่สุด บริเวณบ้านเป็นบ้านปูนทั้งหลังแต่ผุพังมากต้องเดินอย่างระวังมาก พอเดินได้สักพักผมก็บอกเพื่อนๆ ว่าจะขึ้นชั้น2 ละนะ เพราะผมเดินนำหน้าสุด (ไปไหนมันให้นำตลอดเลย)พอกำลังเดินขึ้นผมกับเพื่อนๆก็ตกใจกัน รีบมองไปทางนั้น แต่กลับเป็นสุนัขสีขาวพันธ์พื้นบ้านธรรมดายืนอยู่ตรงบันไดทางขึ้น แล้วก็รีบวิ่งหนีเราไป ผมก็ไม่สนใจเดินขึ้นไปต่อ (ลืมบอกไปผมมีไฟฉายไปด้วย1อัน) แล้วก็ส่องไฟไปร

เป็นเพราะไม่ได้สนใจอะไร

รูปภาพ
      ช่องเขาขาด เราเคยไปกับเพื่อนผู้หญิง ไปกันสองคนค่ะ ตอนแรกไปถึงเราไม่ได้เข้าไปที่ห้องพิพิธภัณฑ์ แต่เราเดินไปตรงที่ทางรถไฟเลย เราไม่ได้ไปทางใหม่ที่สร้างนะคะ ไปทางเก่าที่ต้องขึ้นเขาไป ถ้าใครเคยไปจะรู้ว่ามีสองทาง ทางใหม่เป็นบรรได เดินลงไปตรงช่องเขาขาดได้เลย ระยะทางจากบรรไดทางลงไปถึงช่องเขาขาดระยะทาง 300 เมตรได้ค่ะ แต่เราเลือกไปทางเก่า ที่ลำบาก ๆ ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าเราสองคนคิดอะไรกันอยู่ที่ไปทางนั้น แต่พอไต่ขึ้นไปได้สักพักเริ่มไม่มีราวบันไดให้เกาะ แล้วก็เหมือนหายใจไม่ออกเริ่มมองหน้ากันแล้วรีบชวนกันลงมาอย่างไม่ได้นัดหมายก็เลยชวนกันเข้าพิพิธพันธ์กันค่ะ มาอ่านแล้วก็เจอว่ามีทางใหม่นะ(เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีนะคะ ต่อไปท่องเที่ยวที่ไหน เข้าไปหาข้อมูลหลักของสถานที่ก่อนดีกว่า)เราก็เลยตกลงกันเอาวะ ไปทางใหม่ ไหน ๆ ก็มาแล้วไปกันให้ถึงที่ดีกว่า ตอนแรกมีกลุ่มหนึ่งลงไปก่อนสัก 10 นาที เดินไปจนจะถึงทางลงแล้วค่ะ เราก็เพิ่งจะเดินไป เราลงมาถึงทางพื้นที่จะเดินไปช่องเขาขาด แล้วกลุ่มนั้นก็เดินสวนกลับมาขึ้นไปข้างเรา แรก ๆ เราก็ไม่สนใจอะไรถ่ายรูปชิว ๆ โพสต์ท่าโน่นนี่(แบบสุภาพ) ก็เดินไปตรงช่องเขาที่มีคนวางสิ่งข

ไม่สนใจใช่ไหม

รูปภาพ
     เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นช่วงปีใหม่ ได้เข้ามาพักที่โรงแรม 5 ดาวของเชียงใหม่ แล้วก็จองห้องไว้ แต่พอมาถึงเป็นช่วงเช้า แขกของห้องนั้นยังไม่เช็คเอ้าท์ เลยขอเปลี่ยนห้องเป็นอีกห้อง ที่ไม่ได้จองไว้ ซึ่งผู้ที่เล่าเหตุการณ์นี้ มากับเพื่อน รวมตัวเองเป็น 3 คน เพื่อนคนหนึ่งก็เปิดหน้าต่างห้องเห็นว่า หน้าต่างตรงกับดาดฟ้าโรงพยาบาลพอดี แล้วปกติเพื่อนคนนี้เป็นคนปากไว เลยพูดไม่คิด “โห เห็นดาดฟ้าโรงพยาบาลเลยหรอนี้ อัปมงคลสุดๆ”แต่ก็ไม่มีใครคิดอะไร ก็ออกไปเที่ยวกันปกติ พอกลับมา เพื่อนคนเดิมก็ออกไปเปิดหน้าต่างอีกครั้งก็เห็นผู้หญิงอยู่บนดาดฟ้า จึงพูดขึ้นว่า “คนบ้าอะไรวะ ไปนั่งอยู่คนเดียว” สิ่งที่ชายคนนี้เห็นคือผู้หญิงใส่ชุดโรงพยาบาล คนอื่นๆ ก็ไม่คิดอะไร คงคิดว่า เขาออกมานั่งเคาท์ดาวน์มั้งเลยออกไปเที่ยวกลางคืนกันต่อ หลังจากที่เคาว์ดาวน์เสร็จกลับมา ก็กลับมานอนกันตามปกติ แล้วก็ได้ยินเสียงเหมือนคนใช้เล็บกรีดกระจก ซึ่งหน้าต่างบานนั้น ตั้งอยู่ตรงข้างเตียง และหัวเตียงของห้องเสียงกรีดของกระจก ดังไล่มาจากข้างเตียง จนถึงหัวเตียง แล้วก็มีเสียงกรี๊ดๆ กับเสียงหัวเราะด้วย เพื่อนของเจ้าของเรื่องจึง

ผีบังตา

รูปภาพ
    ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโตนงาช้างมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ป้องปกอยู่เรียกว่า “ทวดตาขุนดำ ทวดโต๊ะปะหวัง” ซึ่งชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียงกับน้ำตกเชื่อว่าท่านนั้นมีรูปกายเป็นเสือดำ ขนาดใหญ่  มีเรื่องเล่าหลอนที่สงขลานี้ว่าราวปี พ. ศ. 2549 มีนักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์คนหนึ่งเดินทางมาเที่ยวน้ำตกโตนงาช้าง จนตกช่วงเย็นชายคนดังกล่าวได้ออกเดินทางปีนขึ้นไปชมทัศนียภาพบนน้ำตกโตนงาช้าง จากนั้นก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เพื่อนๆที่มาด้วยกันจึงออกตามหา แต่ก็หาไม่พบจึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่ของทางน้ำตกทราบช่วยกันตามหาจนช่วงดึกจึงต้องยกเลิกไป แล้วออกหาตอนเช้าอีกที หาอยู่ 3 วัน 3 คืนก็ยังหานักท่องเที่ยวชายชาวสิงคโปร์คนดังกล่าวไม่พบ จึงได้เชิญหมอไสยศาสตร์มาทำพิธีกรรม “เข้าทรง” และพอได้รับข้อมูลมาว่านักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ที่หลงป่ายังมีชีวิตอยู่ ประทังชีพด้วยการกินยอดไม้ และน้ำเป็นอาหาร เขาเพียงโดน “ผีบังตา”เอาไว้ ท่านมิต้องเป็นห่วงแต่ประการใด ถึงเวลาเขาก็จะกลับมาเอง แต่หลังจากนั้นก็ขอให้ช่วยสร้างศาลให้เราอยู่ด้วย หัวหน้าทีมค้นหาจึงสัญญาว่าหากหาเจอก็จะสร้างศาลสถิตบูชาให้ วันที่ 4 ที่ออกค้นหาจึงหานักท่องเที่ยวคน

ย้ายออกแบบไม่เสียดายบ้าน

รูปภาพ
      ตำนานลัดดาแลนด์ สถานที่ผีดุ เชียงใหม่ มีเรื่องเล่ากันว่าสถานที่นี้เป็นที่ยอดฮิตของวัยรุ่นสมัยนั้นจะไปออกเดทกันเพราะมีความเชื่อว่าคู่ไหนไปอธิฐานขอความรักกับต้นไทรหน้าลัดดาแลนด์แล้ว คู่นั้นจะได้รักกันไปตลอดชีวิต ส่วนคนในหมู่บ้านลัดดาแลนด์นั้นทั้งหมดล้วนเป็นคนที่มีฐานะดีทั้งนั้น ที่เข้าไปอยู่เรียกว่าหมู่บ้านเศรษฐี แต่เรื่องมาเกิดตอนที่บ้านหลังหนึ่งโดนคนร้ายฆ่าตายยกบ้าน เรื่องสยองจึงเริ่มต้นขึ้นเพราะคนที่อยู่ใกล้ๆ กับบ้านหลังนี้ บางทีก็ได้ยินเสียงร้องไห้บ้างก็ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ หรือบางครั้งก็ได้ยินเสียงหัวเราะ และที่เจอกันจนอยู่ไม่ได้คือ คนแถวนั้นจะเห็นครอบครัวที่ตายนั้นบางทีก็ออกมายืนหน้าบ้าน ออกมารดน้ำต้นไม้ คนที่ผ่านไปมาโดนหลอกทุกคน ทำให้ตั้งแต่ตอนเย็นจนถึงเช้าไม่มีใครที่จะกล้าออกจากบ้านเลย นานวันเข้ายิ่งหนักขึ้น มีมาหลอกถึงบ้าน คนแถวนั้นอยู่ไม่ไหวเลยพากันย้ายออกกันไปเกือบหมด ทำให้แถวนั้นกลายเป็นบ้านร้างเยอะ แต่ยังมีบ้านอีก 3 หลังที่ยังไม่ไปไหนและ 1 ใน 3 หลังนั้นเจ้าของเป็นฝรั่งไม่ค่อยได้อยู่ จะบินมาเที่ยวเฉพาะฤดูหนาว เพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อมาก เลยจ

ขนหัวตั้งติดหลังคารถ

รูปภาพ
     เรื่องนี้เกิดขึ้นกับเพื่อนคนหนึ่งชื่อ จ ค่ะ  จ เป็นคนบ้านโป่ง ตกดึกฟ้ามืดก็ขับรถกับแฟนไปเที่ยวที่ตัวเมืองนครปฐมตามประสา ด้วยความที่เที่ยวจนเพลินและดื่มแอลกอฮอล์เข้าไป เวลานั้นก็ดึกมากลัวจะขับรถกลับไม่ไหว จ และแฟน เลยตัดสินใจเข้าไปเช็คอินที่โรงแรมแห่งหนึ่ง (ไม่ขอเอ่ยชื่อ) ตอนที่ จ เดินก้าวเข้าไปในห้อง ก้าวแรก จ รู้สึกแปลกใจไม่น้อย เพราะ จ จำได้ว่าตัวเองเคยฝันเห็นห้องนี้มาก่อน แต่ จ ก็ไม่ได้พูดอะไรเพราะตอนนั้นดึกมากแล้วแถม จ ทะเลาะกับแฟนเลยขี้เกียจที่จะคุยกัน ลักษณะจะมีเตียงคู่ และทีวีอยู่ที่ปลายเท้า จ กับแฟนนอนเตียงเดียวกัน อีกเตียงเว้นว่างเอาไว้ จ เปิดทีวีและนอนดูไปได้สักพัก แฟน จ ก็มีท่าทีแปลกๆ อยู่ๆก็หลับตาปี๋แล้วมุดผ้าห่มเอาหน้าไปซุกที่ จ จ ถามแฟนว่าเป็นอะไรหรอ แฟนบอกว่าเปล่าไม่มีอะไร จ ไม่ได้สนใจก็เลยนอนต่อ สักพักแฟน จ ก็เป็นแบบเดิมอีก เอาหน้ามามุดที่ จ จ ถามว่าเป็นอะไรอีกล่ะ แฟน จ ไม่พูดอะไรต่อ ดีดตัวลุกจากเตียงขึ้นเก็บของ ลาก จ ออกจากห้องอย่างไว ขาก้าวยังไม่ทันพ้นประตู ทีวีที่เปิดทิ้งไว้ก็ดับพรึบ จ กับแฟนเลยรีบไปเช็คเอาท์ออกทันที พอตั้งสติได้ขึ้นมานั่งกันในรถ จ ถามแฟนว่

ความทรงจำตอนอนุบาล3

รูปภาพ
     หลังจากแม่คลอดเรา แม่จะเดินทางไปกลับระหว่างจ.ประจวบฯ กับจ.ราชบุรี ประมานปีละ 2-3 ครั้ง เดิมแม่เราเป็นคนราชบุรีค่ะ ที่บ้านทำธุรกิจเปิดร้านทอง แต่แม่ไปอยู่ประจวบเพราะเป็นบ้านเกิดพ่อ ช่วงที่แม่มาราชบุรีแม่เราเป็นคนขับรถเองค่ะ ใช้เวลาเดินทางราวๆ 3-4 ชม. ด้วยที่แม่เราต้องเลี้ยงเราคนเดียว (พ่อทำงานต่างประเทศ) และต้องขับรถเองด้วย มีบางครั้งแม่เหนื่อยมากๆ ต้องแวะพักโรงเเรมข้างทาง ตอนนั้นเราอยู่อนุบาล 3 จำได้แม่นเลยค่ะ แม่เราเหนื่อยจากการขับรถมากตอนนั้นก็ดึกแล้ว แต่ยังเข้าบ้านไม่ได้ค่ะ คือแม่เรามีพี่น้องทั้งหมด 4 คน แม่เราจะไม่ชอบพี่ชายคนโตและไม่ค่อยถูกกัน เพราะเค้าค่อนข้างอารมณ์ร้ายชอบยิงปืนขู่อะไรประมาณเนี้ยอะค่ะ วันนั้นพี่ชายแม่เค้าอยู่บ้าน แม่เลยต้องไปหาโรงแรมนอนก่อน รอเช้าพี่ชายแม่จะไปตจว. แม่ถึงเข้าบ้านได้ (ไม่อยากเจอหน้ากัน) โรงแรมที่แม่เลือกชื่อโรงแรม ลัค… ทางเข้าโรงแรมอยู่ตรงสามแยกพอดีเป๊ะ คือทำเลไม่น่ามาเปิดโรงแรมได้อ่ะค่ะ(ปัจจุบันโรงแรมยังไม่ทุบนะคะ ป้ายก็ยังอยู่เป็นโรงแรมก่อนถึงอ.บ้านโป่งอะค่ะ) เช็คอินท์เสร็จแม่ก็รีบเข้าห้องเตรียมจะอาบน้ำ แม่จับเรานั่งบนเก้าอี้สูง เหมือนเก

ผีใจดี แค่มาเตือน

รูปภาพ
     ปกติก่อนเข้าพักที่ไหนจะไหว้พระและศาลพระภูมิก่อนทุกครั้ง พร้อมทำตามกระบวนการต่างๆ อาทิ เคาะประตู เปิดไฟ ปิดม่าน วางรองเท้าดึงเตียง ฯลฯ อย่างเคร่งครัดมากๆ ก็ยังไม่วาย.. เจอจนได้ เป็นโรงแรมรีสอร์ทริมแม่น้ำค่ะ ชั้นเดียวแต่ยกพื้นคล้ายๆ ทรงบ้านริมน้ำสมัยก่อนของคนไทยค่ะ เตียงไม้แบบนอนสอง เรากับพี่สาวเอาของไปวางไว้ตรงเก้าอี้ก่อนเลยค่ะ จากนั้นก็เปิดไฟนอน แผนที่เก็บใส่กระเป๋าเรียบร้อยด้วยความกลัวว่าจะมีใครมาช่วยดูแผนที่ให้…ผ่านไปราวๆ ตีสองได้ รู้สึกเหมือนเตียงยวบๆ นึกว่าพี่สาวลุกไปห้องน้ำก็เลยไม่ได้สนใจอะไร สักพักความรู้สึกว่าเตียงยวบๆ มันใกล้ๆ เข้ามา เหมือนว่าอยู่ตรงปลายเท้า จากนั้นก็กลายเป็นว่า เหมือนอะไรมานั่งทับขาไว้ หนักมากตกใจรีบลืมตาดู แต่ไม่เห็นอะไร พยายามขยับขา/แขน และขยับจะลุกนั่งแต่ทำอะไรไม่ได้เลยค่ะ หัวก็ขยับไม่ได้ จะร้องเรียกพี่สาวก็เรียกไม่ได้ เหมือนมีอะไรมาอุดปากไว้ สวดมนต์สลับกับแผ่เมตตา จากนั้น ก็ค่อยๆ ขยับแขนได้ แล้วก็เริ่มได้เห็นค่ะ เห็นทางนั้นผมมวย ใส่เสื้อทรงคล้ายๆ ม่อฮ่อมไม่แน่ใจว่าเรียกว่าอย่างไรความรู้สึกบอกว่าเป็นสีขาว กางเกงผ้าๆ สีโทนดำๆ จำรายละเอียดไม่ได้ค่ะ

เจ้านายโดนผีด่า

รูปภาพ
     คือว่าได้มีโอกาสไปทำงานที่อ.ป่าตอง จ.ภูเก็ต ไปกับเจ้านาย 2 คน โดยทางออฟฟิศเป็นคนจองที่พักให้ พอไปถึงเราก็เริ่มทำงานโดยไม่ได้เข้าที่พักกันก่อน กว่าจะทำงานเสร็จก็ปาเข้าไปตี 1 ครึ่งแล้ว เลยเดินทางไปที่พักกัน บรรยากาศที่พักเป็นเกสเฮ้าส์ ลิฟท์ขึ้นจะแคบๆ เป็นที่ที่ใครมาพักก็ชอบ เพราะติดริมทะเล เเต่ต้องขอไม่บอกชื่อละกัน..คือตอนเข้าไปบรรยากาศ ก็ดูไม่น่าพักแล้ว แต่ก็คิดว่าแค่คืนเดียวแหละเดี๋ยวก็กลับแล้ว โดยปกติเวลาเราไปพักที่อื่นเราต้องขยับเตียงนอนทุกครั้งหรือไม่ก็เอาเหรียญใส่ไว้ใต้ที่นอน และก็จะทำให้เจ้านายเราด้วยเเต่ด้วยเหตุใด บังเอิญวันนั้นเจ้านายเรานั่งอยู่บนเตียง เราเลยไม่ได้ขยับให้ กะว่าเดี๋ยวจะทำให้แต่เราก็ลืม หลังจากเจ้านายเราอาบน้ำเสร็จ ก็เข้านอนปกติ แต่เรายังนั่งเล่นเกมอยู่ไม่รู้ว่าทำไมไม่ง่วงจนเลยเวลามาถึงตีห้าครึ่ง เราก็เลยเข้านอนแต่เปิดทีวีทิ้งไว้แล้วตั้งเวลาปิดประมาณครึ่งชั่วโมง เราก็คิดว่าคงไม่มีอะไรเพราะจะเช้าแล้ว พอเช้าเราลืมตาเจอเจ้านายเรานอนมองหน้าเราอยู่และก็บอกว่า “เมื่อคืนอ่ะ” เราเลยบอกอย่าเพิ่งเล่าเลย แต่นายเราไม่ฟัง เล่าให้ฟังว่าเค้าได้ยินเสียงเอะอะโวยวายสบถ ด

โดนสอยด้วยลูกปืน

รูปภาพ
      เรื่องโป่งค่างชาวบ้านถือว่าเป็นผีประจำอยู่ในป่า โป่งค่างเกิดจากสัตว์ที่ถูกฆ่าตายกลายเป็นปีศาจมาหลอกหลอน บางที่ก็แปลงกายเป็นคนมาล่อให้นายพรานลงจากห้าง จากนั้นก็ทำอันตรายนายพราน เรื่องของผีโป่งค่างบางครั้งก็เล่าว่าเป็นผีหรือเป็นสัตว์ที่หน้าตาคล้ายค่าง และเมื่อพระยาราชเสนาเข้าป่า เมื่อเห็นค่างมากก็ถามถึงผีโป่งค่าง ก็ถูกผู้ใหญ่ห้ามไม่ให้พูดถึงทันที เพราะถ้าไปถามเข้าอาจถูกมันดูดเลือดได้ แต่ครั้งนั้นไม่มีโอกาสได้เห็นผีโป่งค่าง และเมื่อเจ้าพระยาราชเสนาอายุ30 ปี , , , ได้มีโอกาสไปพบโป่งค่างที่หนองหงส์ และที่หนองหงส์ไม่มีใครกล้าพักแรมเพราะเป็นแหล่งที่โป่งค่างมาลง โป่งค่างมีลักษณะเหมือนลิง ร้องป๊อกเจี๊ยก ชอบอยู่ที่สูง มีอิทธิฤทธิ์ในการดูดเลือดคนเป็นๆ และก็จะตายในทันทีและพอถึงหนองหงส์ ท่านก็สั่งให้ลูกน้องพักผ่อนตัวเองจะคอยเฝ้ายามเอง แล้วคืนนั้นยามดึกสงัดท่านก็ได้ยินเสียงร้อง ป๊อกเจี๊ยก ป๊อกเจี๊ยกมาใกล้ๆ บริเวณที่ลูกน้องนอนอยู่ทันใดนั้นเสียงก็เงียบไปจากแสงไฟที่ก่อกองเอาไว้ แล้วมันก็ค่อยๆไต่ลงมาจากต้นไม้ตรงไปที่ปลายเท้าของลูกน้องที่นอนหลับอยู่พร้อมที่จะดูดเลือด เจ้าพระยาราชเสนาได้ยกปืนลั

พี่สาวของย่ายิ้มให้

รูปภาพ
     เรื่องผีหรือวิญญาณนั้น เราเคยมีประสบการณ์ทางด้านนี้มาแล้ว มันเป็นเรื่องลี้ลับที่ยากจะพิสูจน์ เราเคยได้ยินเรื่องพวกนี้จากพวกเพื่อน ๆ แต่ไม่เคยพบเจอกับตัวเอง จนกระทั่งเราไปงานศพญาติผู้ใหญ่ที่เมืองจีน คนตายเป็นพี่สาวของย่าเราเอง ตั้งแต่เราเกิด เราไม่เคยเห็นท่านมาก่อน ย่าของเราอพยพมาจากเมืองจีนเมื่อหกสิบปีที่แล้ว จากนั้นท่านได้มาแต่งงานกับปู่ของเราจนมีลูกหลานมากมาย ย่าได้ข่าวจากเมืองจีนว่าพี่สาวคนโตเสียชีวิตเพราะโรคชรา ย่าจึงได้ให้เรากับพี่ชายเป็นตัวแทนของท่านเพื่อไปเคารพศพ เมื่อไปถึงสนามบินที่เมืองจีน มีญาติ ๆ ทางย่ามารับถึงสนามบิน ในจำนวนคนที่มารับทั้งหมดนั้น เราสังเกตเห็นมีคนแก่เป็นผู้หญิงอายุมากแล้วแต่ท่าทางยังแข็งแรงดีรวมอยู่ด้วย ตอนนั้นเรานึกว่าคงเป็นพี่น้องของย่ากระมังเพราะหน้าตาคล้ายกันมาก เมื่อไปถึงบ้านพี่สาวย่า (คนที่ตาย) เราเห็นศพของท่านนอนอยู่บนเตียงมีผ้าคลุมอยู่ใกล้ ๆ กัน มีรูปของผู้เสียชีวิต พอเราเห็นรูปของท่านรู้สึกใจหายวาบ เพราะใบหน้าเหมือนกับคนที่เราเห็นตอนมารับที่สนามบินไม่มีผิด ได้แต่คิดปลอบใจตัวเองว่าอาจจะเป็นพี่น้องกัน หน้าตาถึงได้คล้าย ๆ กัน ถึงเวลาเปิดผ้าคล

ห้องน้ำห้องนี้เป็นที่รู้กันดีในหมู่นักเรียนหญิง

รูปภาพ
     เรื่องราวทั้งหมดนี้เกิดขึ้นที่โรงเรียนประจำจังหวัดแห่งหนึ่งที่ปี 2552 นี้จะมีอายุครบ 100 ปีเต็ม..ความน่ากลัวชวนขนหัวลุกเกิดขึ้นจากนักเรียนชายกลุ่มหนึ่งที่ต้องทำงานรายงานที่ห้องคอมพิวเตอร์ของโรงเรียนในเวลาหัวค่ำ..เวลาช่วงนั้นประมาณ 3 ทุ่มกว่าๆ เป็นเวลาที่ดึกมาแล้ว และไม่มีคนอยู่ในโรงเรียนแห่งนั้นแล้ว..นักเรียนชายกลุ่มดังกล่าวได้รวมกลุ่มกันเดินไปเข้าห้องน้ำ เพื่อทำกิจต่างๆก่อนจะเดินทางกลับบ้าน.. ห้องน้ำห้องนี้อยู่ชั้นเดียวกับห้องคอมพิวเตอร์เป็นห้องน้ำนักเรียนหญิง และอยู่ติดกับห้องน้ำอาจารย์ เมื่อถึงห้องน้ำนักเรียนกลุ่มนี้ต่างแยกย้ายจัดการธุระต่างๆ แต่แล้วเรื่องราวจุดเริ่มต้นก็เกิดขึ้นกับนักเรียนคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนที่กลัวผีมากๆถึงมากที่สุด โดยขณะที่เขากำลังทำภารกิจในห้องน้ำอยู่นั้น.. เขากลับได้ยินเสียงร้องไห้ของผู้หญิง ร้องแบบโหยหวนและเย็นยะเยือกมากๆ เท่านั้นยังไม่พอ แต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องร้องไห้ออกมาแบบเสียสตินั้นก็คือ เขารู้สึกว่าประตูห้องน้ำที่เขาเข้าใช้อยู่นั้นเหมือนมีใครเอามือมาขูดขึ้นลง ขึ้นลง อยู่ด้านนอก..ขณะนั้นนักเรียนคนนั้นร้องไห้ และร้องเรียกเพื่อนๆด้านนอก แต่ก็ไม่มีใค