ผ่านเส้นทางนี้โดนทุกคน


     สวัสดีครับ วันนี้ก็มีเรื่องเล่าของบุคคลท่านหนึ่งมาเล่าให้ฟัง เขาเล่าว่า...เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อหลายปีที่แล้วค่ะ ซึ่งเราได้ทำงานที่กรุงเทพฯ มีอยู่วันหนึ่งเราได้กลับไปเที่ยวหาครอบครัวที่ต่างจังหวัดทางภาคอีสาน เรากลับไปพวกถนนเส้นทางค่อนข้างเปลี่ยนไปมาก เราก็ได้ออกไปเยี่ยมญาติๆและสังสรรค์กันจนดึก พอตอนขากลับบ้านเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะคะ เรื่องมีอยู่ว่า...เราเป็นคนภาคอีสานค่ะ เมื่อประมาณ 6-7 ปีที่แล้ว เราได้กลับไปเยี่ยมบ้านที่ภาคอีสาน ด้วยความที่ไม่ได้กลับบ้านเกิดมานานมาก ทำให้เราตระเวนไปเยี่ยมเพื่อนๆ ญาติๆ ตามหมู่บ้านต่างๆ แทบจะทุกวัน จนมีวันหนึ่ง เราให้พี่ชายคนรองขับรถพาไปเยี่ยมย่า และบรรดาอาๆ ที่อยู่อีกหมู่บ้านหนึ่งซึ่งห่างออกไปราวๆ 5 กิโลเมตร ตอนแรกพี่ชายก็บ่นบอก ‘เอาไว้พรุ่งนี้ได้ไหม? นี่ก็ 4 โมงเย็นแล้ว เวลาเราไปหาเพื่อนหาญาติ ชอบติดลม พี่ไม่อยากขับรถตอนกลางคืน ไฟหน้ารถมันไม่ค่อยดี..’ พี่ชายคนรองของเราบ่นซะยาว เราเลยบอกกับพี่ชายว่า ‘ถ้าไม่พาไป งั้นเอากุญแจรถมา เราไปเองก็ได้ ถ้าเมาแล้วขับอย่ามาบ่นทีหลังละกัน..’ พอพูดจบ ทั้งแม่ทั้งพี่ชายรีบร้องห้ามใหญ่ บอกห้ามไปคนเดียวนะมันอันตราย เดี๋ยวนี้บ้านเราไม่เหมือนเมื่อก่อนหรอกนะ สุดท้ายพี่ชายคนรองก็ต้องขับรถไปส่งเราจนได้ เรานั่งหน้าข้างพี่ชาย ตามองสองข้างทางที่เปลี่ยนไปมาก ถนนเส้นที่พี่ชายพามาเป็นเส้นทางลัด เป็นถนนดินทรายที่ชาวบ้านเขาใช้เวลาไปไร่ไปนา สองข้างทางที่เราจำได้มันเคยเป็นไร่มันสำปะหลัง แต่ตอนนี้เป็นไร่อ้อยแทน เราชวนพี่ชายคุยไปเรื่อย แต่ส่วนมากพี่ชายก็จะตอบมาแค่ ‘อืมๆ’ และก็บอกซ้ำๆ อยู่นั่นแหละว่า ‘อย่าอยู่นานนะ ไฟรถไม่ค่อยดี พี่อยากกลับก่อนค่ำ’ เราก็ตอบไปส่งๆ ‘จ้าๆ’ แต่ในใจก็คิดว่า อะไรวะ..นี่ก็ 4 โมงเย็นแล้ว ถ้ากลับก่อนค่ำก็ 6 โมง แค่ 2 ชั่วโมงจะไปทำไม ยังไงก็ต้องมี 3 ทุ่มอย่างต่ำล่ะ.. และก็จริงอย่างที่คิดไว้ค่ะ เราคุยกับเพื่อนๆ กับญาติๆ ยิ่งดื่มด้วยยิ่งติดลม ล่วงเลยไปจนเกือบ 4 ทุ่ม ซึ่งพี่ชายนี่ก็เร่งทุกๆ ครึ่งชั่วโมงว่า ‘กลับเถอะๆ’ จนแกหยุดเร่งเพราะคงเบื่อ จนเริ่มจะดึก เราถึงได้ชวนพี่ชายกลับ ขากลับกว่าเราสองพี่น้องจะออกจากหมู่บ้านของย่าก็ 4 ทุ่มเข้าไปแล้ว ย่ากับญาติๆ ก็ชวนนอนด้วย แต่เราสองพี่น้องไม่อยากนอน เพราะแค่กลับบ้านดึกแม่ก็คงบ่นหูชาแล้ว.. บอกก่อนเลยค่ะว่าแถวบ้านนอกนี่ เลย 2 ทุ่มไปแล้วจะเงียบมาก ยิ่ง 4 ทุ่มไม่ต้องพูดถึง เรานั่งรถกันมาเงียบๆ เงียบจนเราทนไม่ไหว สองข้างทางที่เป็นไร่อ้อยตอนกลางวันว่าน่ากลัวแล้ว ตอนกลางคืนนี่น่ากลัวยิ่งกว่า แถมเป็นถนนดินทราย ทำให้พี่ชายขับรถช้าอย่างกะเต่าคลาน บรรยากาศมันวังเวงมากจนต้องหาเรื่องคุยกับพี่ชาย ‘ไร่อ้อยเยอะขนาดนี้ หนูคงเยอะเนาะอ้าย..’ พี่ชายก็ตอบมาคำเดียว ‘อืมมมม..’ ‘แล้วอ้อยมันได้ราคาดีเหรอ ทำไมใครๆ ถึงเลิกปลูกมันสำปะหลังมาปลูกอ้อยแทน?’ พี่ชายก็ตอบสั้นๆ เหมือนเดิมคือ ‘อืมมมมม..’ ตอนนี้เราเริ่มโมโหพี่ชายละ ถามอะไรก็ตอบแค่ ‘อืมมมมๆ’ นอกจากพี่ชายจะไม่คุยแล้ว ยังหน้านิ่ง สูดหายใจหนักๆ ฟืดดๆ อยู่หลายครั้ง จนเราชักจะหมดความอดทน เลยไม่คุยด้วย หันหน้าหนีมองออกไปทางหน้าต่าง กะว่าจะมองอะไรไปเรื่อยเปื่อย สองข้างทางมีแต่ต้นอ้อยสูงทึบ รกมาก แล้วสายตาเราก็ดันมองไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ผมยาวถึงกลางหลัง ใส่เสื้อสีเขียวอ่อน นั่งยองๆ เอามือกอดเข่า ซบหน้าลงกับหัวเข่าอยู่ข้างทาง ที่เห็นเพราะแสงไฟหน้ารถสาดไปพอดี เราเลยเผลอร้อง ‘เฮ้ย!’ ออกมาดังๆ หันมองตามจนรถแล่นผ่านไป เขาก็ยังไม่เงยหน้าขึ้น เราหันไปหาพี่ชายกะจะบอกว่า ‘จอดให้เขาไปด้วยดีไหม? คงเป็นชาวบ้านแถวนี้มานั่งรอใครมารับหรือเปล่าเลยเผลอหลับ..’ เตี้ยคิดในใจยังไม่ทันได้อ้าปากบอกพี่ชาย พี่ชายก็พูดออกมาก่อน ‘อย่าปาก!’ (อย่าพูด ภาษาอีสาน) เราก็งง อะไรวะ ปกติพี่ชายเป็นคนมีน้ำใจ ทำไมวันนี้ใจแคบจัง คิดแค่นั้นเราก็สะบัดหน้าหันไปทางหน้าต่างมองข้างนอกตามเดิม แต่สิ่งที่เราเห็นข้างหน้า คือผู้หญิงคนเดิม นั่งท่าเดิมอยู่ข้างทาง! เฮ้ย!? แล้วแกมานั่งตรงนี้อีกได้ยังไง? พอถึงตรงนี้เราขนลุกซู่เลยค่ะ คิดว่าไม่ใช่ละ หันหน้ามาทางพี่ชาย เห็นพี่ชายหน้าซีด ขบกรามแน่น ตาก็มองไปข้างหน้าเหมือนตั้งใจขับรถมากๆ จากนั้นพี่ชายก็พูดเบาๆ ว่า ‘อ้ายเห็นแล้ว ไม่ต้องพูดอะไรต่อ..’ พอจบคำพี่ชายแค่นั้นล่ะค่ะ กระบะหลังรถนี่วูบลงเหมือนมีของหนักๆ ตกใส่  รู้สึกเลยว่ารถมันหนักมาก เหมือนเวลาเราบรรทุกของหนักๆ เต็มกระบะหลังเลยล่ะค่ะ รถก็ช้าลงมาก ขนาดไม่ใช่คนขับยังรู้สึก เรานั่งหลับตาร้องไห้ ความรู้สึกตอนนั้นคือมันนานมาก กลัวจนจะฉี่ราด เสียงพี่ชายก็คอยพูดปลอบเบาๆ ‘อย่าร้องๆ ใกล้จะถึงบ้านแล้ว..’ จากนั้นไม่นาน รถก็เหมือนเบาวืดขึ้นมาเลย เราลืมตาขึ้นดูถึงรู้ว่าจะเข้าเขตหมู่บ้านเราแล้ว มองทางพี่ชายเห็นแกหันมามองเราบ่อยๆ พร้อมกับบอก ‘ไม่มีอะไรแล้วๆ’พอถึงบ้านเท่านั้นล่ะค่ะ เราเปิดประตูวิ่งไปหาแม่ทันที แม่ยังนั่งรออยู่กับพี่ชายคนโต และพี่สะใภ้ เราวิ่งไปกอดแม่เอาแต่ร้องไห้อย่างเดียว พี่ชายคนโตเดินไปหิ้งพระเอาฝ้ายมาให้แม่ผูกข้อมือเรียกขวัญให้เราก่อนจะหันไปพูดกับพี่ชายคนรองว่า ‘พ้อติ?’ (เจอเหรอ?) พี่ชายคนรองก็พยักหน้าบอก ‘จะเหลือเหรอ’ ‘..แล้วเจอยังไง?’ พี่สะใภ้ถาม เราเลยเล่าให้ฟัง ว่าเห็นผู้หญิงคนเดียวกันนั่งกอดเข่าอยู่ข้างทาง 2 ครั้ง แล้วอยู่ๆ รถก็วูบหนักๆ เหมือนบรรทุกของเป็นตันๆ พอเล่าจบก็ได้ยินพี่ชายคนรองร้องว่า ‘โอ้ยยย! แค่นั่งกอดเข่าข้างทาง 2 ครั้งแกยังร้องไห้ขนาดนี้ ถ้าเห็นเอาหน้าแนบกระจกตั้งแต่ออกจากหมู่บ้านย่า แถมยังแลบลิ้นเลียกระจกตลอดทางจนถึงทางเข้าหมู่บ้านเหมือนพี่ แกไม่หัวใจวายตายเลยเหรอ!!’ จากนั้นพี่ชายคนโตก็เดินออกไปดูที่กระจกหน้าด้านคนขับ แล้วเดินกลับมาบอกเบาๆ ว่า ไอ้น้องกระจกรถแกเอี่ยมอ่องจริงๆ เลย! เรานี่ได้แต่นั่งงง อ้าปากค้าง ยังจะมาพูดเล่นกันอีก คนกลัวจนผมจะร่วงทั้งหัวอยู่แล้ว ยังไม่ทันจะถามอะไร พี่สะใภ้ก็เล่าให้ฟังว่า ‘เมื่อ 3 เดือนก่อน มีพี่ผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ พี่ผัน แกเป็นคนหมู่บ้านที่ย่าอยู่ แกออกไปดูไร่อ้อยของแก จากนั้นก็หายตัวไปเลย ชาวบ้านตามหากันอยู่หลายวันก็ไม่เจอ จนกระทั่ง 4 วันต่อมา ชาวบ้านที่ออกไปไร่ไปนาได้กลิ่นเหม็นเน่าออกมาจากไร่อ้อย จึงไปบอกผู้ใหญ่บ้านให้ระดมคนออกมาช่วยกันค้นหาดู ถึงได้รู้ว่าแกถูกฆ่าข่มขืนหมกไร่อ้อย นั่นยังไม่น่าสลดใจเท่าแกท้องได้ 4 เดือนแล้ว คนร้ายยังทำร้ายแกได้ลงคอ จนเดี๋ยวนี้ยังจับคนร้ายไม่ได้เลย ตั้งแต่นั้นมาแกก็เฮี้ยนหลอกทุกคนที่ผ่านเส้นทางนั้นตอนค่ำมืด หมายถึงทุกคนจริงๆ เลยนะ ชาวบ้านแถวนั้นหลัง 6 โมงเย็นก็ไม่มีใครใช้เส้นทางนั้น ชาวไร่ชาวนาต่างรีบกลับบ้านก่อนพระอาทิตย์ตกดิน..’ ได้ฟังแบบนั้นแล้วก็น่าโมโห คือไม่มีใครบอกเราเลยสักคน ถ้าเรารู้ก่อน คงยอมโดนแม่ด่าแล้วนอนบ้านย่ายังดีกว่าโดนผีหลอก แต่คิดๆ ไปก็ยังถือว่าผีพี่ผันแกปราณีเราอยู่บ้าง มาแค่ก้มหน้ากอดเข่า ถ้าเจอแบบพี่ชายคนรอง เราคงได้หัวใจวายจริงๆ ค่ะ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ขอกินน้ำหน่อย!

โรงเรียนสุดหลอน

พนักงานหลอกลวง