ยางแตกก็ยังไปต่อ
ผมเป็นคนระยองครับ เหตุการณ์ต่อไปนี้ผ่านมาประมาณ 10 ปีเห็นจะได้แล้ว เป็นคืนที่ผมกับเพื่อนอีก 3 คนจำได้ไม่มีวันลืมเลย ช่วงนั้นผมกำลังจะจบการศึกษาระดับ ปวส. ของโรงเรียนอาชีวะแห่งหนึ่งในจังหวัดระยองครับ วันหนึ่งผมกับเพื่อนผู้หญิงอีก 3 คน ต้องทำรายงานฉบับหนึ่งส่งอาจารย์ ถ้าไม่มีส่งก็จะไม่จบ พวกเราจึงต้องไปหาร้านนั่งทำรายงาน แต่ปัญหาคือรถมอเตอร์ไซค์มีแค่คันเดียว เลยจำเป็นต้องซ้อน 4 กันไป ตอนนั้นบอกเลยครับว่าผมยังขี่มอเตอร์ไซค์ไม่เป็น ผมเลยเป็นคนซ้อนท้ายสุดครับ ขี่หากันอยู่สักพักก็เจอร้านทำรายงาน ก็นั่งทำกันไปยาวๆ กว่าจะแล้วเสร็จก็ปาไปประมาณตี 1 ครึ่งได้ ต่างคนต่างง่วงนอน เลยจะกลับบ้าน แต่ประเด็นคือบ้านผมเนี่ยอยู่คนละทางกับคนอื่นๆ อีก 3 คนที่เหลือบ้านอยู่ทางเดียวกันหมด เลยต้องไปส่งผมก่อน ก็เหมือนเดิมครับ ผมนั่งคนสุดท้าย บ้านผมอยู่เส้นหลังแหลมทอง เด็กระยองน่าจะรู้จักกันดี ขี่รถไปได้สักพักก็สังเกตุได้ว่า เวลานี้ถนนเส้นนี้มันเปลี่ยวมาก แทบจะมีไม่รถวิ่งเลย แต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะนั่งกันมาตั้ง 4 คน ไม่ต้องกลัวว่าจะมีคนมาทำร้าย แต่กลัวอะไรที่ไม่ใช่คนมากกว่า ขณะที่นั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ตาผมก็ดันเหลือบไปมองข้างทาง เห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังนั่งกินของเซ่นไหว้ที่ใต้ต้นไม้อยู่ ผมรู้สึกมั่นใจมากว่านั่นต้องไม่ใช่คนแน่ๆ เลยหันไปมองทางอื่นแทน ได้แต่ภาวนาในใจว่า ‘อย่าให้เขารู้ว่าผมเห็นเขาเลย..’ แต่คงสายไปแล้วล่ะครับ มันเหมือนมีอะไรดลใจให้ผมหันกลับไปมองอีกครั้ง แต่ภาพที่เห็นนั้นไม่เหมือนเดิมครับ เขาไม่ได้นั่งกินของเซ่นแล้ว แต่เขากำลังวิ่งเข้ามาหารถพวกเรา! ผมช็อคมากรีบหันกลับ แต่ก็กลัวว่าเพื่อนๆ จะกลัว เลยไม่ได้พูดอะไรออกมา จนชั่วอึดใจ ก็รู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างมานั่งอยู่ข้างหลังผม และรถก็ยุบตัวลง ผมตกใจจนต้องร้องเสียงหลงว่า ‘เหี้ย!!’ แต่เพื่อนผมอีก 3 คนกลับพูดพร้อมกันว่า ‘ไม่ต้องพูดอะไร พวกกูรู้แล้ว..’ผมรู้สึกอึดอัดมากได้แต่สวดมนต์ท่องบทสวดผิดๆ ถูกๆ แล้วไปต่อได้สักพักยางรถก็แตกอีกครับ เพื่อนที่นั่งข้างหน้าผมพูดว่า ‘จอดดูรถก่อนไหม?’ ผมตอบกลับไปแบบไม่ต้องคิดเลยครับว่า ‘ไม่ต้องดู! ไปต่อเลย จะถึงบ้านกูแล้ว!’ เพื่อนมันเลยไปต่อทั้งที่ยางแตก จนจะถึงซุ้มประตูหมู่บ้านผม ก่อนถึงซุ้มประตูจะมีสนามเด็กเล่น และศาลเจ้าที่ตั้งอยู่ พอมาถึงตรงนี้ผมรู้สึกโล่งเลยครับ ผมหันไปมองที่ศาล กลับเห็นชายคนเดิมที่นั่งรถมากับพวกเรา กำลังนั่งกินของเซ่นของศาลเจ้าที่นั้น ผมกับเพื่อนๆ รู้สึกเหมือนหลุดพ้นจากอะไรบางอย่างแล้ว และขี่รถต่อจนถึงบ้านผม สรุปคืนนั้นต้องนอนค้างบ้านผมกันหมด ไม่มีใครกล้ากลับไปเส้นทางเดิมอีกเลย พวกเรานอนรวมกันทั้งหมด ไม่มีใครอาบน้ำหรืออยู่ห่างกันเลยครับ จากนั้นเวลาขี่รถกลางคืนนี่ พวกเราไม่กล้าหันไปมองข้างทางอีกเลย เพราะกลัวว่าจะมีอะไรตามมาอีก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น